https://www.youtube.com/shorts/M5N4Z-XUWFQ
พระรูปนี้กล่าวบิดเบือนพุทธธรรมเพื่อรักษาภาพลักษณ์ขององค์กร มากกว่าการรักษาธรรมะ โดยมีการบิดเบือนอยู่ 5 ข้อ อีพีที่ผ่านมาพูดถึง ข้อที่หนึ่งและข้อที่สองไปแล้ว ดังนั้น สามข้อที่เหลือ มีข้อที่บิดเบือนพระธรรม ดังนี้
ข้อที่สาม เป็นการแสดงความลำเอียงต่อ “องค์กรสงฆ์” มากกว่า “พระธรรม” คำพูดว่า “อย่าซ้ำเติมเพราะเป็นการแชร์บาป” ชี้ให้เห็นว่า พระรูปนี้ใช้ “ความเมตตา” เป็นเครื่องมือปิดปากสังคม เพื่อรักษาภาพองค์กร มากกว่าการส่งเสริมให้พระภิกษุปฏิบัติตามพระธรรมวินัย
ข้อที่สี่ เสนอให้ควบคุมสื่อเหมือนประเทศลาว = ขัดกับพุทธจริยา พระพุทธเจ้าไม่เคยสอนให้ปิดปากหรือควบคุมการวิพากษ์ พระพุทธเจ้าทรงอนุญาตให้ติเตียนภิกษุที่ทำผิดได้ หากทำด้วยเจตนาดี การอ้าง “ลาว” หรือประเทศปิดสื่อ จึงไม่ใช่แนวทางของพุทธศาสนา แต่เป็นแนวทางของรัฐอำนาจนิยมที่ใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือสร้างความสงบปลอมๆ
ข้อที่ห้า อ้างเรื่อง “บาป” เพื่อบิดเบือนการตรวจสอบ การพูดว่า “การพูดถึงความผิดพระเป็นการเอาบาปมาใส่ตัว” คือการ ตีความคำว่า ‘บาป’ แบบโลกนิยม ไม่ใช่พุทธนิยม ในพระพุทธศาสนา “การเพ่งโทษด้วยปัญญา” ไม่ใช่บาป แต่เป็นการ เจริญสติ เจริญธรรม การนิ่งเฉยต่อการผิดศีลต่างหากที่เป็น “อาบัติปาราชิก” และเป็นบาปแท้
พระรูปนี้มิได้ยึดพระธรรมเป็นใหญ่ แต่ยึดภาพลักษณ์องค์กรเป็นหลัก การกล่าวเช่นนี้สะท้อนถึง แนวคิดที่ปกป้องความเสื่อมในคราบของเมตตา จีวรลุกเป็นไฟออกมาป้องความผิดขนาดนี้ คงได้ตำแหน่งพระราชาคณะมา จากการซื้อขายตำแหน่ง เหมือนกัน ถึงกล่าวโดยไม่เกรงกลัวต่อพระพุทธเจ้าแต่อย่างใด