ในทางรัฐศาสตร์ การตั้งคณะกรรมการหลังวิกฤต มักถูกเรียกว่า “นาฏกรรมทางนโยบาย” เพราะให้ความรู้สึกว่า “รัฐกำลังลงมือทำอะไรบางอย่าง” แต่ในเชิงปฏิบัติแล้ว ไม่มีอำนาจบังคับใช้จริง มักทำรายงานที่ไม่ได้แก้โครงสร้าง และถูกใช้เป็น เครื่องมือสร้างคะแนนนิยมก่อนเลือกตั้ง เท่านั้น เมื่อประกาศว่า “จะทำให้เสร็จก่อนยุบสภา” สิ่งที่สะท้อนชัดที่สุดคือ นี่คือเครื่องมือทางการเมือง ไม่ใช่เครื่องมือปฏิรูปเชิงสถาบัน การที่นายกฯ นั่งควบตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ประกาศว่า จะปฏิรูประบบราชการ จะแก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง จะสร้างระบบป้องกันภัยพิบัติใหม่ แต่ปัญหาที่แท้จริงคือ กลไกที่ทำให้ระบบราชการไร้สมรรถนะ ไม่ได้เกิดขึ้น “ในวันนี้” แต่สะสมมานาน ที่สำคัญ พรรคการเมืองที่นายกเป็นหัวหน้าพรรคในขณะนี้ มีฐานการเติบโตจากเครือข่ายอุปถัมภ์ในระบบราชการ มีการแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ทางอำนาจในระบบราชการหลายกระทรวง หลายกรม หลายองค์กร ซึ่งพฤติกรรมแบบนี้ ดูดสมรรถนะของระบบราชการจนด้อยสมรรถนะ ทำให้ผู้บริหารในกรม–จังหวัด–อปท. ถูกคัดเลือกจากความสัมพันธ์ มากกว่าคุณภาพ ทำให้เกิดวัฒนธรรม “ทำเพื่อเจ้านาย ไม่ใช่เพื่อประชาชน” ดังนั้น การจะมาบอกว่า “จะปฏิรูประบบราชการ” แก้ปัญหาเชิงโครงสร้าง ปัญหาระบบราชการที่ติดขัดยุ่งยาก เตรียมความพร้อมรับมือมหาภัยต่างๆในอนาคต พะน่ะ จึงมีลักษณะเป็น การกล่าวอ้างของผู้ควบคุมโครงสร้างที่ทำให้ระบบอ่อนแอตั้งแต่แรก แล้วจะไม่เรียกปาหี่ เหรอครับพี่น้อง

