วิทยาการสาธารณภัย By ดร.วัฒกานต์ ลาภสาร

การฉ้อโกงประชาชนในประเทศไทยมักเกิดขึ้นซ้ำซากและต่อเนื่องเนื่องจากมีช่องว่างหรือช่องโหว่ทั้งทางสังคม เศรษฐกิจ และกฎหมายที่ทำให้การหลอกลวงดังกล่าวสามารถเกิดขึ้นได้ โดยปัจจัยที่ทำให้การฉ้อโกงประชาชนเกิดซ้ำมีดังนี้:

1. การขาดความรู้ความเข้าใจทางการเงินของประชาชน
  • ประชาชนจำนวนมากยังขาดความรู้เกี่ยวกับการลงทุน ความเสี่ยงทางการเงิน และการจัดการสินทรัพย์ ทำให้หลงเชื่อในโครงการที่มีผลตอบแทนสูงอย่างผิดปกติ อีกทั้งผู้ฉ้อโกงมักใช้กลยุทธ์และคำโฆษณาที่ซับซ้อน สร้างความสับสนให้กับผู้ลงทุน โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุหรือผู้ที่ไม่คุ้นเคยกับเทคโนโลยีและการเงินสมัยใหม่

2. แรงจูงใจจากผลตอบแทนสูง

  • เนื่องจากผลตอบแทนที่โฆษณามักจะสูงกว่าผลตอบแทนจากการลงทุนทั่วไป เช่น การฝากเงินหรือซื้อหุ้น ผู้ฉ้อโกงจึงสามารถใช้การโฆษณาผลตอบแทนที่น่าสนใจมากกว่าการลงทุนปกติเพื่อดึงดูดให้ประชาชนหลงเชื่อ ยิ่งในยุคที่เศรษฐกิจถดถอย การเงินฝืดเคือง ผลตอบแทนสูงจึงยิ่งน่าดึงดูดสำหรับผู้ที่ต้องการหารายได้เสริมอย่างรวดเร็ว

3. การใช้สื่อออนไลน์ในการโฆษณา

  • สื่อสังคมออนไลน์มีบทบาทสำคัญในการแพร่กระจายข้อมูลและการโฆษณา ทำให้การฉ้อโกงเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างรวดเร็ว เช่น การหลอกลวงการลงทุนออนไลน์ ฟินเทค (Fintech) หรือแชร์ลูกโซ่ในรูปแบบใหม่ ๆ ผู้หลอกลวงสามารถแสดงภาพลักษณ์ที่น่าเชื่อถือผ่านสื่อออนไลน์ได้ง่าย ทำให้ประชาชนเชื่อและเข้าร่วมลงทุนโดยขาดการตรวจสอบข้อมูลที่แท้จริง

4. ระบบการบังคับใช้กฎหมายที่ยังไม่ทั่วถึง

  • ระบบการบังคับใช้กฎหมายยังมีความล่าช้าและมีข้อจำกัดบางประการ ทำให้ไม่สามารถควบคุมและลงโทษผู้ฉ้อโกงได้อย่างทันท่วงที ในบางกรณี แม้จะมีการออกหมายจับหรือติดตามผู้กระทำผิด แต่ผู้กระทำการก็สามารถหลบหนีหรือซ่อนทรัพย์สินได้ ทำให้เกิดการฉ้อโกงซ้ำอีกหลายครั้ง

5. การขาดระบบตรวจสอบและเฝ้าระวังที่เข้มงวด

  • การตรวจสอบความถูกต้องของบริษัทหรือโครงการลงทุนใหม่ ๆ ยังมีข้อจำกัด และประชาชนอาจไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลหรือความโปร่งใสของโครงการลงทุนได้ง่าย โดยเฉพาะการลงทุนที่มีรูปแบบซับซ้อนหรือใช้ระบบออนไลน์ที่ทำให้ผู้ฉ้อโกงสามารถปิดบังข้อมูลจริงได้อย่างแนบเนียน

6. ช่องโหว่ทางกฎหมายและบทลงโทษที่ไม่เพียงพอ

  • บางกรณีบทลงโทษทางกฎหมายที่เกี่ยวกับการฉ้อโกงประชาชนหรือแชร์ลูกโซ่ยังไม่สามารถยับยั้งผู้กระทำผิดได้ เพราะหากไม่ได้มีการฟอกเงินหรือทำให้ทรัพย์สินแปรสภาพ การตรวจสอบอาจทำได้ยากและยึดทรัพย์ได้ไม่ครบถ้วน นอกจากนี้ การแก้ไขช่องโหว่ทางกฎหมายเพื่อป้องกันการฉ้อโกงยังทำได้ไม่ทันกับรูปแบบการฉ้อโกงที่พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว

7. ความเชื่อมั่นในตัวบุคคลและภาพลักษณ์ที่ดี

  • ผู้ฉ้อโกงหลายคนใช้ภาพลักษณ์ที่น่าเชื่อถือ เช่น อ้างถึงประวัติการศึกษาที่ดี สถานะทางสังคม หรือตำแหน่งที่เคยดำรงในองค์กรสำคัญ ทำให้ประชาชนหลงเชื่อในตัวบุคคลมากกว่าการตรวจสอบความเป็นจริงของโครงการ การฉ้อโกงโดยอาศัยชื่อเสียงและความเชื่อมั่นในตัวบุคคลกลายเป็นวิธีการที่ได้ผลในสังคมไทยที่ให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์

8. ช่องทางการซ่อนเร้นและฟอกเงิน

  • ปัจจุบันมีวิธีการหลากหลายที่ช่วยซ่อนหรือฟอกเงินจากการฉ้อโกง เช่น การนำเงินเข้าบัญชีที่ซับซ้อน การแปลงเป็นสกุลเงินดิจิทัลหรือสินทรัพย์ที่เคลื่อนย้ายได้ง่าย ทำให้ยากต่อการติดตามทรัพย์สินและการยึดทรัพย์สินของผู้กระทำผิด

สรุป

การฉ้อโกงประชาชนในประเทศไทยยังคงเกิดขึ้นซ้ำ ๆ เนื่องจากช่องว่างในความรู้ทางการเงินของประชาชน แรงจูงใจจากผลตอบแทนสูง การใช้สื่อออนไลน์ที่แพร่หลาย ระบบการบังคับใช้กฎหมายที่ยังไม่ทันสมัย การขาดระบบตรวจสอบและเฝ้าระวังที่เข้มงวด ช่องโหว่ทางกฎหมาย รวมถึงภาพลักษณ์ที่ดีและการซ่อนเร้นทรัพย์สินที่ง่ายขึ้น หากมีการรณรงค์ให้ความรู้แก่ประชาชนและพัฒนากฎหมายและมาตรการที่เข้มงวดขึ้น จะช่วยลดปัญหาการฉ้อโกงประชาชนได้

 

4o

Search