วิทยาการสาธารณภัย By ดร.วัฒกานต์ ลาภสาร

การแบ่งเกณฑ์การประสบภัยแล้งนี้จะช่วยให้เจ้าหน้าที่ด้านน้ำและประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่อภัยแล้งทำการเตรียมความพร้อมในการจัดการน้ำและใช้น้ำอย่างมีประสิทธิภาพเมื่อเกิดภัยแล้งในพื้นที่ในพื้นที่รับผิดชอบ ประเทศไทย แบ่งเกณฑ์การประสบภัยแล้ง

1.ตามหลักเกณฑ์การช่วยเหลือผู้ประสบภัย  จะแบ่งสถานการณ์ภัยแล้งจากการเพาะปลูกพืชในช่วงฤดูฝนเป็นหลัก  หากในฤดูฝน  หากเกิดสถานการณ์ไม่มีฝนตกในช่วง 15 วัน ถือได้ว่าประสบภัยแล้ง

2.หลักภูมิอากาศสากล  จะใช้ปริมาณนำ้ฝนที่ตกในพื้นที่เป็นเกณฑ์ ซึ่งภัยแล้งจะถูกนิยามว่าเกิดขึ้นเมื่อพื้นที่ได้รับน้ำฝนน้อยกว่าปกติเป็นระยะเวลานานกว่า 3 เดือนขึ้นไป

การแบ่งเกณฑ์เพื่อบริหารจัดการภัยแล้ง จะแบ่งออกเป็น  2 ระดับ ได้แก่

  1. ระดับเตือนภัยแล้ง (Drought Watch) ใช้เมื่อมีสัญญาณเตือนให้ระวังการแสงผ่านในพื้นที่หนึ่ง หรือเมื่อระบบน้ำบริเวณใดก็ตามมีการลดลงจนอาจส่งผลกระทบต่อการใช้น้ำ เช่น การเพิ่มเป็นประจำอาทิเช่น แม้กระทั่งขนาดเล็ก ที่เรียกว่า ปลอดน้ำฝน (Rainfall Deficit) หรือการลดลงของการไหลของแม่น้ำหรือลำธาร ที่เรียกว่า ปลอดน้ำลำเฟือง (Streamflow Deficit)
  2. ระดับภัยแล้ง (Drought Warning) ใช้เมื่อเกิดภัยแล้งที่รุนแรงขึ้น ทำให้การใช้น้ำพื้นผิวและในเครื่องหมายเลขใหญ่ มีผลกระทบต่อผลผลิตและชีวิตของประชาชนในพื้นที่นั้น ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจด้วย ส่วนประชาชนจำเป็นต้องประหยัดใช้น้ำเพื่อรักษาน้ำในพื้นที่

ตัวชี้วัดเพื่อการตัดสินใจปฏิบัติการป้องกันและแก้ไขปัญหาภัยแล้ง ประกอบด้วย

  1. การร้องขอฝน: การร้องขอฝนเพื่อช่วยเพิ่มปริมาณน้ำฝนในพื้นที่ที่มีความแห้งแล้ง
  2. โมเดลการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ: การใช้โมเดลการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศเพื่อประเมินการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ ความชื้น และลม ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อการเกิดภัยแล้ง โมเดลที่ใช้มีความถูกต้องและเท่าทันกับภูมิอากาศปัจจุบัน จะช่วยให้สามารถระบุความเสี่ยงต่อการเกิดภัยแล้งได้แม่นยำมากขึ้น
  3. การวิเคราะห์ภูมิอากาศ: การวิเคราะห์ภูมิอากาศเพื่อประเมินความเสี่ยงต่อการเกิดภัยแล้ง เช่น การวิเคราะห์ความชื้นในอากาศ การวิเคราะห์อุณหภูมิและการเปลี่ยนแปลงของลม เป็นต้น การวิเคราะห์ภูมิอากาศจะช่วยให้สามารถระบุโอกาสของการเกิดภัย