คุณภาพการศึกษา
ตั้งแต่ปี 2012 การวัดระดับคุณภาพการศึกษาจากองค์กรระดับนานาชาติ ปรากฏว่าคะแนนสอบ pisa เด็กไทยได้คะแนนแย่ลงเรื่อยๆ https://www.bbc.com/thai/international-50642536 ทั้งๆ ที่งบประมาณที่ทุ่มให้กับการศึกษานั้น เทลงไปถึง 25 %ของงบประมาณประเทศ และมีข้อคิดเห็นจากหลายๆ ฝ่ายว่าระบบการศึกษาไทยยังเป็นแบบท่องจำทั้งท่องจำในเนื้อหาวิชาหลัก และท่องจำค่านิยมเด็กดี/คนดีในอาณานิคมของชนชั้นปกครอง ทั้งครูทั้งนักเรียนก็อยู่ในกรอบนี้เหมือนๆ กัน ถึงแม้จะเอาครูไปสอบ pisa แทนเด็ก คะแนนที่ได้ของประเทศก็อยู่ลำดับท้ายๆ ไม่แตกต่างกัน
ภายใต้อาณัติสัญญาที่ไม่เคยได้อ่าน
ชนชั้นปกครองมีความพยายามกลบเกลื่อนด้วยการชี้ไปที่ความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาต้องขยายระบบการศึกษาที่มีคุณภาพให้เท่าเทียมกันไม่มีคุณภาพแบบในเมืองและแบบในชนบทอีกต่อไป แต่เนื้อหาหลักสูตรและนโยบายเรื่องค่านิยมกลับไม่ได้เอาใจใส่ที่จะปรับปรุงเปลี่ยนแปลง หาช่องทางหานโยบายมาลดความเหลื่อมล้ำ เพื่อที่พรรคพวกจะได้เข้าไปหาประโยชน์จากการทุ่มวัสดุอุปกรณ์ทางการศึกษาลงไปมากมาย เช่น สนามฟุตซอล ฯลฯ (มีการสร้างวาทกรรม “ประเทศชาติเราต้องการเด็กเก่งที่ทำข้อสอบได้คะแนนสูง หรือต้องการคนดีที่มีจิตสาธารณะ คิดถึงส่วนรวมมากกว่ากัน สำหรับผม ผมชอบคนดีมากกว่าคนเก่ง เราจะได้คะแนน PISA ต่ำหรือไม่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ เด็กไทยของเราถูกสร้างมาให้เป็นเด็กดีก็น่าภูมิใจ) พะน่ะอีพ่อ
ผลลัพธ์ของการศึกษาไทย
แต่สภาพในโรงเรียน จากการลงไปศึกษาเชิงคุณภาพ ประเด็นผลลัพธ์ของระบบการศึกษาไทย กับเด็กระดับประถมศึกษาในจังหวัดขอนแก่น จำนวน 45 คน พบว่า การทุ่มเทอุดหนุนด้วยความรักจากพ่อแม่ผู้ปกครองให้เข้ามาศึกษาเล่าเรียน กลับถูกหล่อหลอมให้มีลักษณะที่สำคัญ 2 ประการ คือ
1. รับรู้ ซึมซับระบบชนชั้นในสังคม ไม่ได้ถูกหล่อหลอมให้มีจิตวิญญาณแห่งความรู้สึกว่าทุกคนเท่าเทียมกันแต่ประการใด
2. การยอมสยบอ่อนน้อมต่ออำนาจนิยมในสังคม
เกมอำนาจชนชั้นนำ
รุ่นแล้วรุ่นเล่า เมื่อเวลาผ่านไปวัฒนธรรมการศึกษาที่ผลิตซ้ำและสืบทอดอำนาจ ความรู้ โลกทัศน์แบบที่ชนชั้นนำกำหนดได้ปรับและแปรสภาพไปอยู่ในปฏิบัติการทางสังคมในชีวิตประจำวัน ที่ผู้คนไม่รู้สึกรู้สากับกลไกของการกดขี่และการแสวงหาประโยชน์เพื่อคน เนื่องจากระบบการศึกษาที่ปลูกฝังตามข้อ 1 , 2 ดังกล่าวมาข้างต้น
แม้จะสามารถกดขี่และแสวงหาประโยชน์ได้ แต่ชนชั้นปกครองกลับไม่แยแสต่อปฏิบัติการทางสังคมที่โหดร้ายกระทำการรุนแรงกับสิ่งแวดล้อมรอบๆ ตัวของผู้ใต้การปกครอง หรือไม่แยแสต่อปฏิบัติการทางสังคมที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดภัยพิบัติ ยังไม่เคยคิดแม้กระทั่งระเบียบข้อบังคับเพื่อลดความเสี่ยง เพียงดำเนินการโตั้งหน่วยงานขึ้นมาเพื่อรักษาอำนาจการปกครองของตน โดยตั้งหน่วยงานเฉพาะด้านสาธารณภัยขึ้นมาเพื่อการรักษาอำนาจ สร้างความชอบธรรมให้กับตนเอง อีกทั้งต่อมา เมื่อต้องการกระชับอำนาจของตนมากขึ้น ได้ใช้วามกรรม “ประชารัฐ” เข้ามากล่อมเกลาขัดเกลาสังคมให้สามารถประสานและประนีประนอมผลประโยชน์กันคนของตน (ภาครัฐและนายทุนผูกขาด) ขจัดความคิดที่จะมีอิสรภาพทางความคิดในการปกครองตนเอง
องค์ประกอบความรุนแรงภัยพิบัติ
ความสัมพันธ์ทางสังคมดังกล่าวดูจะเป็นไปอย่างราบรื่น ภายใต้แต่ปฏิบัติการดังกล่าวของมนุษย์จะกลับสร้างความเกี้ยวกราดจากธรรมชาติที่จะรุนแรงมีผลกระทบต่อมวลมนุษย์มากขึ้น ภายใต้ความอ่อนแอของประชาชนในพื้นที่ต่างๆ ที่มีพื้นที่เสี่ยงภัยพิบัติเพิ่มมากขึ้น เนื่องจาก
1.พวกเราขาดการติดวิเคราะห์ อันจะเกิดการโต้แย้ง ต่อต้าน ต้องการการประนีประนอมกับภาครัฐและนายทุนผูกขาด
2.ไม่รู้จักการขับเคลื่อนตามเหตุตามผล ตามความคิดวิเคราะห์ ที่จะเรียกร้องภาครัฐให้ปฏิบัติการตามความต้องการ
3. เห็นแก่ตัว เอาตัวรอดเฉพาะตัวไปเรื่อยๆ
xxxxxxxxxxxxxxxxxxx