“ตัวสติปัฏฐาน 4 เป็นปฏิจจสมุปบาทเลย”พะน่ะ พูดแบบนี้ถือว่าเป็น การบิดเบือนแนวคิดแกนกลางของพระธรรมของพระพุทธเจ้าเลยนะเว้ย ขุนฤทธิ์ เพราะ “สติปัฏฐาน 4” กับ “ปฏิจจสมุปบาท” เป็น คนละมิติ คนละหน้าที่ในกระบวนธรรมโดยสิ้นเชิง สติปัฏฐาน 4 เป็น วิธีการภาวนา ที่พระพุทธเจ้าทรงวางไว้ให้ “รู้กาย–รู้เวทนา–รู้จิต–รู้ธรรม” อย่างมีสติ เพื่อทำให้เกิด “วิปัสสนาญาณ” เห็นตามจริงว่า กาย เวทนา จิต ธรรม — ล้วนไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และไม่ใช่ตัวตน สรุปคือ — สติปัฏฐาน 4 เป็นแนวทางภาวนาเพื่อดับอวิชชา
แต่ ปฏิจจสมุปบาท เป็น หลักอธิบายโครงสร้างของความทุกข์ หรือเหตุแห่งภพชาติ ไม่ใช่วิธีปฏิบัติ แต่เป็น “แผนผังแห่งความเกิดดับของสังขาร” คือแสดงให้เห็นว่า ทุกข์ทั้งปวงเกิดจากอวิชชา แล้วส่งต่อกันเป็นลูกโซ่จนถึงชาติ ชรา มรณะ สรุปคือ ปฏิจจสมุปบาทเป็นหลักอธิบายสภาวะ
ขุนฤทธิ์มิดด้าม “ผสมมิติของทฤษฎี–ปฏิบัติ” เข้าด้วยกันแบบผิดเพี้ยน พระคึกฤทธิ์มักสอนว่า “เมื่อรู้สติในกาย เวทนา จิต ธรรมได้ สภาวะทั้ง 4 นั่นแหละคือการเห็นปฏิจจสมุปบาทในตัว เพราะทุกอย่างเกิดจากเหตุปัจจัย” เหล่าสาวกคึกฤทธิ์ ก็จะหน้าผ่องเป็นยองใยขึ้นมาทันที ปลาบปลื้มกับการพูดว่า “สติปัฏฐาน 4 คือปฏิจจสมุปบาท” ซึ่งเป็นการ ลดหลักอธิบายทุกข์ หรือการอธิบายอวิชชา–อธิบายภพชาติ ให้เหลือแค่ “รู้ลมหายใจแล้วเห็นเหตุปัจจัย” เป็นการ ย่นย่อพุทธปรัชญาให้กลายเป็นเทคนิคสมาธิ เฮ้อ พวกเอ็งจะเอาบุญหรือเอา-บาป-กันแน่ว่ะ สาธุ สาธุ สาธุ พะน่ะ