ความเป็นนิติรัฐมีผลต่อการบริหารจัดการภัยพิบัติอย่างมากๆ โดยเฉพาะในการจัดการสถานการณ์ฉุกเฉินและภัยพิบัติที่เกิดขึ้นในประเทศ ซึ่งเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่จะต้องดำเนินการร่วมกับหน่วยงาน และชุมชนท้องถิ่นเพื่อรักษาความปลอดภัย และส่งเสริมความเจริญของประเทศ
การมีนิติรัฐที่เข้มแข็งและมีกฎหมายที่ชัดเจนจะช่วยให้รัฐบาลสามารถดำเนินการจัดการภัยพิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพและคล่องตัว มีการกำหนดเกณฑ์และมาตรฐานในการจัดการภัยพิบัติ เพื่อให้การดำเนินงานมีความเป็นไปได้และมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้ การมีนิติรัฐที่ดียังสามารถสร้างความเข้มแข็งให้กับการทำงานร่วมกันระหว่างหน่วยงานและชุมชนท้องถิ่นในการจัดการภัยพิบัติ โดยช่วยสร้างความเชื่อมั่นในการทำงานร่วมกันและประสิทธิภาพในการตอบสนองต่อสถานการณ์ ซึ่งการจะมีนิติรัฐ จะต้องมีองค์ประกอบ ดังนี้
- การไม่เลือกปฏิบัติ
- คำนึงถึงสิทธิและเสรีภาพ
- ต้องคาดเดาได้
- ความเป็นอิสระของเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน
หลักนิติธรรมเป็นอย่างไร
หลักนิติธรรม ที่บทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2560 มาตรา 3 วรรคสอง “รัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล องค์กรอิสระ และหน่วยงานของรัฐ ต้องปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ กฎหมาย และหลักนิติธรรม เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติและความผาสุกของประชาชนโดยส่วนรวม” เนื่องจากหลักนิติธรรมเป็นหลักความชอบด้วยกฎหมายของการกระทำทางปกครอง โดยมีแนวคิดว่า คนทุกคนต้องตกอยู่ภายใต้กฎหมายและภายใต้ศาลเดียวกันตามหลักความเสมอภาคต่อหน้ากฎหมาย ซึ่งการบริหารจัดการภัยพิบัติก็มีกฎหมายตามหลักนิติธรรมมากมาย เช่น
- พระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ.2550 (จัดวางโครงสร้างองค์กรเพื่อการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย)
- ระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการป้องกันอุบัติภัยแห่งชาติ พ.ศ.2564
ในทางตรงกันข้าม หลักนิติรัฐ กับมีแนวคิดว่า การจำกัดอำนาจของรัฐโดยกฎหมาย การทำให้รัฐต้องผูกพันอยู่กับหลักการพื้นฐานและคุณค่าทางกฎหมายโดยไม่อาจบิดพริ้วได้ ด้วยเหตุนี้หลักนิติรัฐจึงไม่มีความหมายแค่เพียงการบังคับให้รัฐต้องคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของบุคคลเท่านั้น แต่ยังเรียกร้องให้รัฐต้องดำเนินการในด้านต่างๆ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมขึ้นอย่างแท้จริงในสังคมด้วย
ระเบียบกฎหมายที่เป็นไปตามหลักนิติรัฐ