ปัญหาการใช้ที่ดินอย่างไม่ยั่งยืนในพื้นที่ลุ่มน้ำกกเป็นหนึ่งในประเด็นสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในระยะยาว ปัญหานี้มักเกิดขึ้นจากการขยายตัวของกิจกรรมเกษตรกรรมเชิงพาณิชย์และการพัฒนาโดยขาดการวางแผนที่สอดคล้องกับการอนุรักษ์ธรรมชาติ ซึ่งนำไปสู่ปัญหาหลายประการ ดังนี้:
1. การตัดไม้ทำลายป่า
- การแผ้วถางป่าเพื่อนำไปใช้ในการเกษตร: มีการบุกรุกพื้นที่ป่าเพื่อขยายพื้นที่ทำการเกษตร โดยเฉพาะการปลูกพืชเชิงพาณิชย์ เช่น ข้าวโพด ยางพารา และไม้ผล การตัดไม้ทำลายป่ามักเกิดขึ้นในพื้นที่สูงซึ่งเป็นต้นน้ำของแม่น้ำกก การสูญเสียป่าทำให้ความสามารถในการอุ้มน้ำของดินลดลง และส่งผลต่อการไหลของน้ำในแม่น้ำ
- การทำลายแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่า: การลดลงของพื้นที่ป่าส่งผลให้สัตว์ป่าหลายชนิดสูญเสียที่อยู่อาศัยและแหล่งอาหาร ซึ่งส่งผลต่อความหลากหลายทางชีวภาพ
2. การพังทลายของดิน
- การทำลายป่าบนภูเขาสูงและการเพาะปลูกพืชเชิงเดี่ยวในพื้นที่ลาดชันทำให้เกิดปัญหาการพังทลายของดิน โดยเฉพาะในช่วงฤดูฝนที่ดินไม่สามารถยึดน้ำไว้ได้ ทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและตะกอนดินถูกชะล้างลงสู่แม่น้ำ การพังทลายของดินทำให้ที่ดินสูญเสียความอุดมสมบูรณ์และเสื่อมโทรม
3. การใช้สารเคมีในการเกษตร
- การใช้สารเคมีทางการเกษตร เช่น ปุ๋ยเคมี ยาฆ่าแมลง และยากำจัดวัชพืช ในพื้นที่ลุ่มน้ำกกเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา สารเคมีเหล่านี้สามารถซึมลงสู่ดินและถูกชะล้างลงสู่แหล่งน้ำ ซึ่งส่งผลให้เกิดปัญหามลพิษทางน้ำ การปนเปื้อนของสารเคมีในแม่น้ำกกมีผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตในน้ำและคุณภาพน้ำที่ชุมชนใช้อุปโภคบริโภค
4. การเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดินจากเกษตรดั้งเดิมเป็นเกษตรเชิงพาณิชย์
- การเปลี่ยนแปลงจากเกษตรกรรมแบบดั้งเดิมที่เน้นความยั่งยืน เช่น การทำไร่หมุนเวียน หรือการปลูกพืชที่หลากหลาย ไปสู่การทำเกษตรเชิงพาณิชย์ในรูปแบบโมโนคัลเจอร์ (Monoculture) เช่น ข้าวโพด ทำให้พื้นที่มีความเสี่ยงสูงต่อปัญหาการเสื่อมสภาพของดินและทรัพยากรน้ำ
- การปลูกพืชเชิงเดี่ยวทำให้ดินขาดการบำรุงและส่งผลต่อความเสื่อมโทรมของที่ดินในระยะยาว
5. การขยายตัวของชุมชนและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน
- การขยายตัวของชุมชนเมืองและการสร้างโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนนและที่อยู่อาศัย ส่งผลให้เกิดการตัดพื้นที่ป่าและพื้นที่ทางธรรมชาติเพิ่มขึ้น การพัฒนาบางส่วนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงระบบการไหลของน้ำและเพิ่มโอกาสในการเกิดน้ำท่วมและน้ำท่วมฉับพลันในบางพื้นที่
6. การบริหารจัดการน้ำอย่างไม่เพียงพอ
- การใช้น้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำกกส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับการเกษตรและการใช้น้ำเพื่อการอุปโภคบริโภค ซึ่งในบางพื้นที่มีการใช้น้ำเกินขีดความสามารถของแหล่งน้ำธรรมชาติ ทำให้ปริมาณน้ำที่มีอยู่ไม่เพียงพอในช่วงฤดูแล้ง นอกจากนี้ การใช้น้ำโดยไม่มีการบริหารจัดการที่ดีส่งผลให้การใช้น้ำไม่สมดุลและเกิดความขัดแย้งระหว่างชุมชน
7. ผลกระทบต่อระบบนิเวศน้ำ
- การพังทลายของดินและการชะล้างตะกอนดินลงสู่แม่น้ำกกส่งผลให้คุณภาพน้ำลดลงและระบบนิเวศน้ำเสื่อมโทรม สิ่งมีชีวิตในน้ำ เช่น ปลาและสัตว์น้ำชนิดอื่น ๆ ได้รับผลกระทบจากตะกอนและสารเคมีที่ปนเปื้อนในแหล่งน้ำ
- การเปลี่ยนแปลงสภาพของแม่น้ำกกและแหล่งน้ำที่เกี่ยวข้องยังส่งผลต่อการประมงและการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำในพื้นที่
แนวทางการแก้ไขปัญหา
- การฟื้นฟูป่าไม้: ส่งเสริมการปลูกป่าและการอนุรักษ์พื้นที่ต้นน้ำเพื่อป้องกันการพังทลายของดินและรักษาความสมดุลของระบบนิเวศ
- การสนับสนุนเกษตรกรรมยั่งยืน: ส่งเสริมการทำเกษตรอินทรีย์ การเพาะปลูกพืชที่หลากหลาย และการใช้ที่ดินอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อลดการเสื่อมโทรมของดิน
- การจัดการน้ำอย่างยั่งยืน: พัฒนาระบบการบริหารจัดการน้ำที่มีประสิทธิภาพและสนับสนุนการใช้น้ำอย่างประหยัดและเป็นธรรม
- การส่งเสริมการศึกษาและการมีส่วนร่วมของชุมชน: ชุมชนควรมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและการใช้ที่ดินอย่างยั่งยืน โดยการเสริมสร้างความรู้และความตระหนักรู้ถึงผลกระทบของการใช้ที่ดินอย่างไม่ยั่งยืน
การแก้ไขปัญหาการใช้ที่ดินอย่างไม่ยั่งยืนในพื้นที่ลุ่มน้ำกกจำเป็นต้องมีการประสานงานระหว่างชุมชน รัฐบาล และภาคส่วนต่าง ๆ เพื่อพัฒนาและรักษาทรัพยากรธรรมชาติให้ยั่งยืน