ปัญหาเชิงโครงสร้างในการบริหารจัดการภัยพิบัติในประเทศไทยมีความซับซ้อนและเกี่ยวข้องกับหโครงสร้างในด้านต่าง ๆ ที่พบได้บ่อย ได้แก่:
1. โครงสร้างการบริหารจัดการ (Governance Structure)
- การกระจายอำนาจไม่เพียงพอ: การจัดการภัยพิบัติมักถูกบริหารจัดการจากหน่วยงานส่วนกลาง ซึ่งอาจขาดความคล่องตัวในการตอบสนองต่อเหตุฉุกเฉินในพื้นที่ท้องถิ่น แม้ประเทศไทยจะมีความพยายามกระจายอำนาจไปยังองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) แต่ยังไม่เพียงพอเมื่อเกิดภัยพิบัติใหญ่ เนื่องจากการขาดงบประมาณและทรัพยากรที่เพียงพอ
- การขาดการประสานงานระหว่างหน่วยงาน: การขาดการประสานงานที่ดีระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งในระดับส่วนกลางและท้องถิ่น ทำให้การตอบสนองและการจัดการภัยพิบัติไม่เป็นไปตามแผนที่มีประสิทธิภาพ หน่วยงานต่าง ๆ มักทำงานแบบแยกส่วน (Silo) และขาดการบูรณาการข้อมูลหรือการสื่อสารที่รวดเร็ว
2. โครงสร้างเชิงนโยบายและกฎหมาย (Policy and Legal Structure)
- กฎหมายและนโยบายที่ล้าสมัย: กฎหมายและนโยบายการจัดการภัยพิบัติในประเทศไทยบางส่วนยังไม่ทันสมัยและไม่สามารถตอบสนองต่อภัยพิบัติที่มีความซับซ้อนมากขึ้น เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) กฎหมายที่ใช้บังคับในปัจจุบันอาจไม่ครอบคลุมถึงภัยพิบัติรูปแบบใหม่ เช่น ภัยพิบัติทางเทคโนโลยี หรือภัยพิบัติทางสุขภาพ
- การขาดกรอบนโยบายในการจัดการความเสี่ยง: แม้จะมีการวางแผนการรับมือภัยพิบัติในระดับประเทศ แต่การขาดกรอบนโยบายที่ชัดเจนและครอบคลุมในการจัดการความเสี่ยงทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ทำให้การบริหารจัดการภัยพิบัติไม่เป็นไปตามที่ควร เช่น การขาดการประเมินความเสี่ยงเชิงพื้นที่อย่างครอบคลุม การขาดแผนป้องกันที่สอดคล้องกับสภาพภูมิศาสตร์และเศรษฐกิจในแต่ละท้องถิ่น
3. โครงสร้างทางสังคมและการศึกษา (Social and Educational Structure)
- ความไม่เท่าเทียมในการเข้าถึงข้อมูลและความรู้: ประชาชนในพื้นที่ชนบทหรือพื้นที่ห่างไกลมักมีการเข้าถึงข้อมูลหรือการศึกษาเกี่ยวกับภัยพิบัติและวิธีการรับมือที่จำกัด ทำให้ไม่สามารถเตรียมตัวหรือรับมือกับภัยพิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- การขาดการฝึกอบรมและการเตรียมความพร้อม: แม้ว่าจะมีแผนจัดการภัยพิบัติอยู่ แต่ประชาชนและเจ้าหน้าที่ในหลายพื้นที่ยังไม่ได้รับการฝึกอบรมที่เพียงพอ การเตรียมความพร้อมในกรณีเกิดภัยพิบัติจึงไม่เข้มแข็งพอ ทำให้เมื่อเกิดเหตุการณ์ การรับมือมักเกิดความล่าช้าและสับสน
4. โครงสร้างด้านทรัพยากรและงบประมาณ (Resource and Budget Structure)
- การขาดแคลนทรัพยากร: การบริหารจัดการภัยพิบัติในประเทศไทยมักประสบปัญหาการขาดแคลนทรัพยากรที่เพียงพอ เช่น อุปกรณ์ช่วยเหลือ บุคลากร หรือเทคโนโลยีการติดตามและประเมินสถานการณ์ เช่น ระบบเตือนภัยที่ไม่ครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ
- งบประมาณจำกัดและการจัดสรรที่ไม่เหมาะสม: งบประมาณที่ใช้ในการจัดการภัยพิบัติมักถูกจำกัดและไม่เพียงพอที่จะจัดการปัญหาได้ทั้งหมด การจัดสรรงบประมาณอาจไม่สอดคล้องกับความต้องการของพื้นที่ที่ประสบภัยพิบัติ ทำให้การรับมือกับภัยพิบัติบางพื้นที่เป็นไปอย่างล่าช้าหรือขาดประสิทธิภาพ
5. โครงสร้างทางกายภาพและโครงสร้างพื้นฐาน (Physical and Infrastructure Structure)
- โครงสร้างพื้นฐานที่ไม่เพียงพอหรือไม่ทันสมัย: โครงสร้างพื้นฐาน เช่น ระบบระบายน้ำ เขื่อน กำแพงกั้นน้ำ หรือระบบไฟฟ้าสำรองในพื้นที่เสี่ยงภัย บางครั้งยังไม่ได้รับการพัฒนาให้ทันสมัยและสามารถรับมือกับภัยพิบัติที่เปลี่ยนแปลงได้ เมื่อเกิดภัยพิบัติรุนแรง เช่น น้ำท่วมใหญ่ โครงสร้างเหล่านี้อาจไม่สามารถทำงานได้ตามที่คาดหวัง
- การพัฒนาเมืองที่ไม่สอดคล้องกับการจัดการภัยพิบัติ: การขยายตัวของเมืองที่ไม่คำนึงถึงการจัดการภัยพิบัติ เช่น การถมที่เพื่อพัฒนาเมือง ทำให้พื้นที่ซึมน้ำลดลง หรือการสร้างอาคารในพื้นที่เสี่ยง ทำให้เมืองขาดความยืดหยุ่นในการรับมือกับภัยพิบัติ
6. โครงสร้างทางการเมือง (Political Structure)
- การเมืองและการตัดสินใจเชิงการเมือง: บางครั้งการตัดสินใจเชิงการบริหารจัดการภัยพิบัติอาจถูกแทรกแซงด้วยการเมืองหรือผลประโยชน์เชิงการเมือง ทำให้การตอบสนองต่อภัยพิบัติไม่รวดเร็วพอ หรือการจัดสรรงบประมาณและทรัพยากรอาจไม่เป็นไปตามความต้องการที่แท้จริง