วิทยาการสาธารณภัย By ดร.วัฒกานต์ ลาภสาร

รัฐพ่อค้าความปลอดภัย: เมื่อกรมป้องกันฯ กลายเป็นบริษัทขายความกลัว

“หายนะจากภัยพิบัติกำลังแสดงพลังของธรรมชาติมากกว่าพลังของเหตุผลของอารยธรรมมนุษย์ — มนุษย์จึงอาจไม่มีที่ยืนอย่างปลอดภัย และต้องเสียภาษีให้รัฐราชการที่กลายเป็นพ่อค้าความปลอดภัย”

ภัยพิบัติในศตวรรษที่ 21 มิได้เพียงแค่ทำลายชีวิตและทรัพย์สิน หากแต่ได้เปิดโปง “ความเปลือยเปล่าของรัฐ” ที่แอบอ้างความสามารถในการคุ้มครองชีวิตประชาชน แต่กลับดำรงอยู่เพื่อรักษาโครงสร้างอำนาจของตนเอง ภายใต้ภาพลักษณ์แห่งความเป็น “ผู้ป้องกัน”
ในประเทศไทย กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ควรจะเป็นสัญลักษณ์แห่งเหตุผลและความพร้อมรับมือ แต่กลับกลายเป็น เครื่องมือแห่งการค้าอำนาจในนามของความปลอดภัย

1. เมื่อภัยธรรมชาติกลายเป็นโอกาสเชิงงบประมาณ

ทุกครั้งที่ฝนตกหนักจนแม่น้ำเอ่อล้น ภาพที่เรามักเห็นไม่ใช่ความคล่องแคล่วของระบบการบริหารภัยพิบัติ แต่เป็น “ขบวนงบประมาณ” ที่เคลื่อนไหวรวดเร็วกว่าเรือท้องแบนของเจ้าหน้าที่
ภัยพิบัติไม่ได้ถูกมองเป็น “ภัย” แต่กลายเป็น “โอกาสทางงบประมาณ” ที่หน่วยงานส่วนกลางและส่วนท้องถิ่นต่างรอจังหวะนำเสนอแผน “ฟื้นฟู” และ “ซ่อมแซม” อย่างเร่งด่วน
ในทุกแผ่นกระดาษคำของบ มีชื่อเครื่องสูบน้ำ รถดับเพลิง เครื่องจักรกลหนัก และชุดอุปกรณ์กู้ภัยที่ “ต้องจัดซื้อใหม่” อยู่เสมอ

ภัยธรรมชาติจึงกลายเป็น ทรัพยากรการเมืองของระบบราชการ — ยิ่งเสียหายมาก งบก็ยิ่งมาก และยิ่งมีเหตุให้ตั้งคณะกรรมการใหม่ได้อีก

“เมื่อภัยพิบัติกลายเป็นฤดูกาลแห่งการของบ — ความเสียหายก็ไม่ใช่สิ่งที่ต้องแก้ แต่เป็นสิ่งที่ต้องรักษาไว้ เพื่อใช้เป็นหลักฐานในการอยู่รอดของระบบราชการ”

2. กรมป้องกันฯ กับบทบาท “บริษัทขายความกลัว”

หากมอง ปภ. ในแง่เศรษฐศาสตร์การเมือง จะพบว่ามีลักษณะคล้าย “บริษัทขายบริการความปลอดภัย” ที่มีลูกค้ารายเดียวคือประชาชน และเก็บค่าบริการผ่านภาษี
แต่แทนที่จะสร้างความมั่นคงเชิงโครงสร้าง ปภ. กลับขาย “ความหวาดกลัว” เป็นสินค้า

ทุกครั้งที่มีการซ้อมแผนป้องกันภัย เรามักเห็นภาพเจ้าหน้าที่ในชุดสะท้อนแสง แถวเรียงพร้อมรถกู้ภัยใหม่เอี่ยม — ภาพลักษณ์ของรัฐที่ “พร้อม”
แต่ในวันที่เกิดเหตุจริง ประชาชนกลับพบว่า ความพร้อมนั้นอยู่ในแฟ้มเอกสาร ไม่ใช่ในพื้นที่

ภัยพิบัติจึงกลายเป็น อุตสาหกรรมแห่งความกลัว — ยิ่งประชาชนรู้สึกไม่ปลอดภัย รัฐก็ยิ่งมีเหตุผลจะเพิ่มงบประมาณเพื่อ “สร้างความมั่นใจ”
และในขณะที่ผู้คนเสียชีวิตเพราะน้ำป่า หรือไฟไหม้ป่าอย่างต่อเนื่อง รัฐกลับได้ภาพลักษณ์ใหม่ในสื่อ ว่า “ทำงานอย่างเต็มที่แล้ว”

3. ระบบราชการที่ปกป้องงบประมาณมากกว่าชีวิต

แก่นของปัญหาไม่ใช่ความไร้ประสิทธิภาพทางเทคนิค แต่คือ ความบกพร่องทางจริยธรรมของระบบราชการ
ระบบการสั่งการของ ปภ. ยังคงยึดตามลำดับชั้นของ “หนังสือสั่งการ” มากกว่าการตัดสินใจเชิงพื้นที่
หน่วยงานส่วนกลางออกคำสั่ง ส่วนท้องถิ่นรออนุมัติ — ในขณะที่น้ำไหลเร็วกว่าคำสั่งราชการหลายเท่า

ภัยธรรมชาติไม่ได้ฆ่าคนมากเท่ากับ “ภัยจากความล่าช้าเชิงระบบ” — เมื่อทุกชีวิตต้องรอให้กระดาษผ่านลายเซ็นสามชั้นก่อนจะได้รับความช่วยเหลือ
รัฐไทยจึงไม่ได้ขาดแคลนงบประมาณ แต่ขาดแคลน ความกล้าทางจริยธรรม ที่จะปฏิรูประบบราชการให้รับผิดชอบต่อผลลัพธ์จริง ไม่ใช่ต่อเอกสาร

4. ความปลอดภัยเชิงสัญลักษณ์

สิ่งที่รัฐขายให้ประชาชนไม่ใช่ “ความปลอดภัยจริง” แต่คือ “ความรู้สึกปลอดภัย” ผ่านภาพและพิธีกรรม
เมื่อมีข่าวน้ำท่วม รัฐมนตรีลงพื้นที่ถือร่มกลางฝน — สื่อถ่ายทอดสด
เมื่อมีผู้ประสบภัย เจ้าหน้าที่แจกถุงยังชีพพร้อมกล้องถ่ายรูป — เพื่อแสดงว่า “รัฐอยู่ข้างคุณ”

แต่หลังจากนั้น บ้านยังจมอยู่ใต้น้ำ ถนนยังพัง และชาวบ้านยังรอคำตอบว่าเงินเยียวยาจะมาถึงเมื่อใด

นี่คือ ความปลอดภัยเชิงภาพลักษณ์ ที่รัฐใช้แทนความปลอดภัยเชิงโครงสร้าง
และเมื่อความปลอดภัยกลายเป็นเรื่องของภาพลักษณ์ — งบประมาณก็กลายเป็นเรื่องของ “มูลค่าทางการเมือง” มากกว่า “มูลค่าทางชีวิต”

5. ประชาชนในฐานะ “ผู้ซื้อจำใจ”

ประชาชนไม่ได้สมัครใจจะอยู่ในระบบนี้ แต่ถูกบังคับให้เป็น “ลูกค้าประจำ” ของรัฐพ่อค้าความปลอดภัย
ทุกปีเราจ่ายภาษีเพื่อให้รัฐเตรียมพร้อม แต่ทุกปีเราก็ยังเห็นภาพบ้านพัง ถนนขาด และศูนย์พักพิงชั่วคราว
ประชาชนจึงไม่ได้รับ “บริการความปลอดภัย” แต่ได้รับ “บริการความเสียใจ” ที่รัฐนำมาแจกพร้อมถุงยังชีพและคำปลอบโยน

ในแง่นี้ ภัยพิบัติในไทยจึงไม่ใช่แค่เรื่องของธรรมชาติ แต่คือ กระบวนการผลิตซ้ำของความไม่มั่นคงเชิงระบบ
คือการที่รัฐสร้างภัยซ้ำ เพื่อมีเหตุของบซ้ำ — และสุดท้ายก็ปลอบประชาชนซ้ำด้วยคำพูดเดิม

6. สรุป: รัฐราชการในยุคที่ภัยกลายเป็นทุน

ในโลกที่ธรรมชาติกำลังทวงคืนอำนาจจากมนุษย์ รัฐควรยืนอยู่บนฐานของเหตุผล วิทยาศาสตร์ และความโปร่งใส
แต่รัฐราชการไทยกลับยืนอยู่บนฐานของผลประโยชน์และความกลัว
ภัยธรรมชาติจึงกลายเป็น “พลังของโลก” ส่วนภัยราชการกลายเป็น “พลังของคน” ที่อันตรายกว่า

“เมื่อภัยธรรมชาติทำลายบ้าน รัฐอาจสร้างบ้านใหม่ให้เราได้
แต่เมื่อรัฐราชการทำลายความเชื่อมั่น — ไม่มีงบประมาณใดซ่อมมันคืนได้อีก”

🔸 บทส่งท้าย

กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยไม่ควรเป็น “ผู้ค้าความกลัว” แต่ควรเป็น “ผู้สร้างความเข้าใจและความสามารถในการอยู่ร่วมกับธรรมชาติ”
แต่ตราบใดที่ระบบราชการยังให้รางวัลกับ “ความเสียหาย” แทนที่จะให้รางวัลกับ “การป้องกันได้สำเร็จ” —
ประเทศไทยก็จะยังอยู่ในวงจรของ “ภัยซ้ำซาก – งบซ้ำซาก – ความหวังซ้ำซาก”

และประชาชนจะยังคงเป็น “ผู้ซื้อจำใจ” ของสินค้าชื่อว่า “ความปลอดภัยที่ไม่มีวันส่งมอบจริง

Search

https://www.tiktok.com/@msjo.net

Twitter

https://www.youtube.com/channel/UCWQvQCFFyHZtznjgmYvVbfw