วิทยาการสาธารณภัย By ดร.วัฒกานต์ ลาภสาร

เตี้ยนหมู่สู่แดนกะลา

จากกรณีพายุ “เตี้นหมู่” มีเส้นทางผ่านประเทศไทยในช่วงปลายเดือนกันยายน 2564 ได้ทำให้ทั่วทุกพื้นที่ของประเทศมีปริมาณฝนตกหนัก ประชาชนได้รับผลกระทบรุนแรงมากกว่า “น้ำรอการระบาย”  ซึ่งจะต้องเรียกว่า “นำ้รอปัญญา”



 

สถานการณ์ความเดือดร้อนจาก “น้ำรอปัญญา”

ความรุนแรงที่เกิดขึ้นครั้งนี้ ที่มีน้ำรอปัญญาท่วมขังเกิน  7 วัน พบในหลายๆ จังหวัดรวม 11 จังหวัด ได้แก่

1. จังหวัดสุโขทัยhttps://www.sanook.com/news/8448558https://web.facebook.com/120190281

2. จังหวัดชัยภูมิ https://www.thairath.co.th/news/local/northeast/2203312  https://www.thaipost.net/main/detail/118243?fbclid

3. จังหวัดนครราชสีมา https://www.thairath.co.th/news/local/north/2203085 https://www.thaipost.net/main/detail/118259?

4. จังหวัดเพชรบูรณ์ https://web.facebook.com/120190281377691/photos/a.684300258300021/4591461610917180/

5. จังหวัดลพบุรี https://www.thairath.co.th/news/local/central/2203316 https://www.ejan.co/general-

6. จังหวัดปราจีนบุรี

7. จังหวัดพระนครศรีอยุธยา  https://web.facebook.com/%E0%B8%A1

8. จังหวัดพิจิตร

9. จังหวัดกำแพงเพชร

10. จังหวัดนครสวรรค์  https://web.facebook.com/%E0%B8%A1%E0%B8%B9

12.จังหวัดอ่างทอง https://www.thaipost.net/main/detail/118242? https://web.facebook.com/%E0%B8%A

13. จังหวัดขอนแก่น https://web.facebook.com/%E0%B8%A1%E0%B8%B9%E0%B8

การขยับตัวของรัฐราชการ

รัฐราชการอำนาจนิยมที่เข้มแข็ง ภายใต้การใช้ทรัพยากรและงบประมาณมาก แต่ได้ผลตอบแทนน้อย สร้าง Moral Hazard ให้ประชาชน (ผลิตซ้ำหายนะให้แก่ประชาชน)แทนที่จะมุ่งมั่นพัฒนาประสิทธิภาพการทำงานกลับมั่นในการถูกจูงเอาใจผู้บังคับบัญชา บางครั้งทรัพยากรกลับถูกนำไปใช้เพื่อประโยชน์ของผู้มีอำนาจ ปราศจากแรงกดดันจากคนจ้างให้พัฒนาคุณภาพ

คนไทยส่วนใหญ่ ก็ทนคุ้นชินกับผลงานที่ไม่ดีของรัฐราชการ และดูจะยิ่งเลวร้ายลงเรื่อยๆ ในระยะช่วงที่รัฐบาลเผด็จการทหารเฒ่าครองอำนาจ การรักษาความปลอดภัยโดยตำรวจได้ละเมิดแม้กระทั่ง พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก พ.ศ.2546 การป้องกันและควบคุมโรคระบาดที่แปรเปลี่ยนมาซุกซ่อนการค้าความตายของประชาชน และการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยที่สร้างองค์กรบนความขัดแย้งของประชาชนกับสภาพนิเวศ

เฉพาะกรณีของการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยในช่วง Crisis พายุเข้าแต่ละครั้งก็จะมีกระบวนการทำงานซึ่งก่อให้เกิดความแตกแยกระหว่างชนชั้นมากขึ้นมากขึ้น ดังนี้

ก.ก่อนเกิดเหตุ

1. หน่วยงานส่วนกลางหลายๆ หน่วยจะระดมแจ้งเตือนแบบทั่วไปๆ นำข้อมูลชุดเดียวกันมาลอกใส่ชื่อองค์กรตัวเองเข้าไป  แล้วปล่อยฮาออกไป  ไร้วี่แววการการประมวลสัญญาณเตือนจากพื้นที่ (ยกเว้นการตรวจจับระดับน้ำตามแม่นำ้ลำคลองที่สำคัญ มีการลงทุนไปหลายหมื่นล้านบาทแล้ว พอจะนำมาใช้ได้บ้าง)

2. ภายในพื้นที่จังหวัด จะจัดตั้งคณะทำงานหรือศูนย์การทำงานร่วมขึ้น  แล้วผู้เชี่ยวชาญสาธารณภัยประจำจังหวัดก็จะเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมานั่งรายงานความพร้อมให้ผู้อำนวยการจังหวัดชี้โบ้ชี้เบ้ไปเรื่อย  ภายใต้งบประมาณรายจ่ายงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินและจำเป็นของประชาชนครั้งละ 50 ล้านบาท (จัดสรรให้นายอำเภอชี้โบ้ชี้เบ้ไปก่อนล่วงหน้า ครั้งละประมาณ 1 ล้านบาท ถ้ายังไม่พอระงับยับยั้งเดียวชุดใหญ่จะตามไป)  และงบประมาณเพื่อการดำเนินงานของส่วนราชการต่างๆ ภายในจังหวัด

ข.เผชิญเหตุ

ม่วนกุ๊บทีบ ทั้งแจกของทั้งขนคนขนของไปโน่นมานี่  ชาวบ้านขึ้นไปยืนบนหลังคารอรับการแจก (ดูภาพนั่งบนหลังคา + ปล่อยให้น้ำท่วมโรงพยาบาล https://www.bbc.com/thai/thailand-58 หรือเข้าไปอยู่ตามศูนย์อพยพ บางครั้งก็จะมีท่านขุนน้อยขุนใหญ่นั่งรถนั่งเรือไปแจกข้าวแจกของเพื่อทำ PR หรือไปทำกับข้าวใส่กล่อง ถือตะหลิวหมุนโชว์หน้ากล้องถ่ายรูป เสียงวิทยุเสียงข้อความเสียงเครื่องพิมพ์ตามอาคารของรัฐดังว่อนทั้งวันทั้งคืน (เอาใจนายหรือเอาใจประชาชนกันครับ)

ค.หลังเกิดเหตุ

“อุตุอุตุดำเนินการต่อไป  ส่วนข้าเข้ามุ้งใครมุ้งมัน ค่อยเจอกันคราวหน้า”

เขียนมาดังกล่าวข้างต้น  มันใช่เหรอที่จะให้วัฒนธรรมนี้ยังสถิตสถาพรกับประเทศไทยต่อไปชั่วลูกชั่วหลาน  หรือคนไทยกำลังเรียนรู้ทฤษฎีของ ออตโต ชาร์เมอร์ [Otto Scharmer] มนุษย์มีทางเลือกมากไปกว่าที่จะตอบสนองอย่างอัตโนมัติโดยสามารถเลือกที่จะ “ดำดิ่งเข้าไปในตัวของเขาเอง” ก่อนที่จะตอบสนองต่อสิ่งเร้า

การดำดิ่ง” เข้าไปภายในตัวเองนี้ เรียกว่า “ทฤษฎียู” Theory U ในตัวยูขาลงนั้นเป็นการเรียนรู้ของมนุษย์ที่ให้เริ่มสังเกตตัวเองและสิ่งต่างๆ รอบข้าง ใคร่ครวญอย่างผ่อนคลาย สบายๆ ไม่ตัดสินเรื่องราวหรือผู้คนต่างๆ รวดเร็วจนเกินไป ไม่มีความเร่งรีบ จากนั้นจะเป็นการหลอมรวมตัวเองเข้ากับสิ่งแวดล้อมทั้งหมดจนเป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นคนที่อยู่ตรงหน้า สิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิตทั้งหมด เห็นตัวเราในตัวเพื่อน เห็นตัวเพื่อนในตัวเรา จนกระทั้งความคิดค่อยๆ ดำดิ่งเข้ามาภายในตัวตนของตัวเองจนถึงก้นตัวยู ที่อยู่นิ่งสงบเย็น ณ ตำแหน่งนั้นสติปัญญาและความคิดต่างๆ จะสามารถก่อเกิดขึ้นได้ ที่ก้นตัวยู [U]

จากนั้นก็จะก่อรูปขึ้นมาเป็นตัวยูขาขึ้น โดยเริ่มจากการ “ตกผลึก” เป็นรูปธรรมเป็นอนาคตที่เลือนรางและค่อยๆ ชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ และ “การก่อรูป” ของตัวยูขาขึ้นจะทำได้ดีมากขึ้น เมื่อเรา “ลงมือกระทำ” จริงๆ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ เกิดเป็น “การปฎิบัติจริง” ที่ “อาจจะ” แตกต่างไปจากการ “ดาวน์โหลดดิ่ง” ที่ไม่ได้ผ่านการคิดใคร่ครวญใดๆ เลย

———————–