ศักยภาพในการระบายน้ำฝนของระบบระบายน้ำในเมือง:
- ระบบระบายน้ำในเมืองขนาดเล็กถึงปานกลาง:
- ระบบระบายน้ำในเมืองขนาดเล็กถึงปานกลางมักถูกออกแบบให้รองรับปริมาณฝนตกที่ ประมาณ 30-50 มิลลิเมตรต่อชั่วโมง ขึ้นอยู่กับโครงสร้างของท่อระบายน้ำและลักษณะภูมิประเทศ
- เมืองที่มีการพัฒนาระบบระบายน้ำที่ดีอาจรองรับได้ถึง 60 มิลลิเมตรต่อชั่วโมง
- ระบบระบายน้ำในเมืองขนาดใหญ่:
- เมืองขนาดใหญ่หรือเมืองหลวง เช่น กรุงเทพฯ หรือเมืองใหญ่ในประเทศอื่น ๆ มักถูกออกแบบให้รองรับปริมาณฝนตกที่ ประมาณ 60-100 มิลลิเมตรต่อชั่วโมง ขึ้นอยู่กับความหนาแน่นของท่อระบายน้ำ การจัดการพื้นที่ชุ่มน้ำ และการเชื่อมต่อกับแหล่งน้ำธรรมชาติ เช่น แม่น้ำหรือทะเล
- บางเมืองที่มีการเตรียมพร้อมรับมือกับน้ำท่วมอาจมีระบบระบายน้ำที่สามารถรับฝนตกได้สูงถึง 150 มิลลิเมตรต่อชั่วโมง โดยใช้เทคโนโลยีขั้นสูง เช่น ปั๊มน้ำความจุสูงและอุโมงค์ระบายน้ำขนาดใหญ่
ข้อจำกัดของระบบระบายน้ำ:
- ฝนตกหนักเกินขนาดที่ออกแบบ: หากปริมาณฝนที่ตกมีความหนาแน่นสูงกว่า 100 มิลลิเมตรต่อชั่วโมงในช่วงเวลาสั้น ๆ ซึ่งเป็นลักษณะของฝนตกหนักเฉียบพลัน (Rain Bomb) ระบบระบายน้ำอาจไม่สามารถรองรับได้ทัน ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมขัง
- การอุดตันของท่อระบายน้ำ: แม้ระบบจะถูกออกแบบมาอย่างดี แต่ปัญหาการอุดตันจากขยะและเศษซากต่าง ๆ อาจทำให้การระบายน้ำช้าลง
- การพัฒนาเมืองที่ไม่มีการจัดการน้ำที่เพียงพอ: เมืองที่มีการสร้างสิ่งก่อสร้างมากเกินไปและไม่มีพื้นที่สีเขียวหรือพื้นที่ชุ่มน้ำเพียงพอ อาจทำให้การซึมซับน้ำตามธรรมชาติลดลง ส่งผลให้น้ำไหลลงสู่ท่อระบายน้ำในปริมาณมากเกินไป
ข้อแนะนำในการเพิ่มประสิทธิภาพของระบบระบายน้ำ:
- การปรับปรุงขยายท่อระบายน้ำและการติดตั้งปั๊มน้ำเพิ่มเติม
- การสร้างพื้นที่สีเขียวและพื้นที่ชุ่มน้ำภายในเมือง เพื่อช่วยซึมซับน้ำฝน
- การจัดการขยะและเศษซากเพื่อป้องกันการอุดตันของท่อระบายน้ำ
สรุปได้ว่า ระบบระบายน้ำในเมืองส่วนใหญ่สามารถรองรับปริมาณฝนตกได้ประมาณ 30-100 มิลลิเมตรต่อชั่วโมง โดยขึ้นอยู่กับขนาดของเมืองและการออกแบบของระบบ