“สงครามที่แท้จริงไม่ใช่การยิงกันที่ชายแดน…แต่คือการต่อสู้กับมายาคติในหัวของประชาชน”
ความกลัวเรื่อง “การเสียดินแดน” หรือ “ถูกรุกราน” เป็นตัวกระตุ้นให้ประชาชนเข้าสู่
“ภวังค์ชาตินิยม” ทันทีที่การสื่อสารการปะทะกันดังขึ้น
เมื่ออยู่ในภวังค์นี้ ประชาชนจะ หยุดตั้งคำถามเชิงตรรกะ เช่น ภาวะผู้นำในการบริหารประเทศในภาวะวิกฤต, ทำไมปัญหาจีนเทาไม่ได้รับการแก้ไข การฮั้ว สว การอนุมัติงบประมาณเพื่อสนับสนุนธุรกิจเครือข่ายของตน และหันไปตอบสนองต่อ อารมณ์ความรู้สึกความรักชาติ, ความรู้สึกแค้นแทน
ทำให้ประชาชนคือ “ตัวประกอบในละคร” ทันทีที่อยู่ภวังค์ชาตินิยม
ประชาชนคือ “ผู้ชมที่ถูกบังคับให้เชียร์” โดยไม่รู้ว่าตัวเองเป็นเพียงตัวประกอบ นั้นสะท้อนถึง:
ความสูญเสียที่ไม่สมเหตุสมผล: ประชาชนทั่วไปรวมถึงทหารพลเรือน ต้องเสียเลือดเนื้อและชีวิต แต่ ผู้ที่ได้รับผลประโยชน์จริง คือ เครือข่ายทุนสีเทา และ นักการเมือง ที่ใช้ความขัดแย้งนี้เป็นเวทีในการแสดงอำนาจ
ทางรอดเดียว: การตื่นจากภวังค์
ทางรอดที่ว่า “ใครได้ประโยชน์จริงจากเลือดที่เราต้องเสีย?” เป็นกุญแจสำคัญ
การตั้งคำถามนี้เป็นการเปลี่ยนโฟกัสจาก “ใครถูกใครผิดในเรื่องแผนที่” ไปสู่ “ใครคือผู้ได้ผลประโยชน์ทางการเงินและการเมืองจากความขัดแย้งนี้”
หากประชาชนสามารถเชื่อมโยงได้ว่า “ความขัดแย้งที่ชายแดน” กับ “ทุนสีเทาที่อยู่เบื้องหลัง” เป็นเรื่องเดียวกัน มายาคติเรื่องสงครามเพื่อชาติก็จะพังทลายลง
การวิเคราะห์นี้ไม่ได้ปฏิเสธว่ามีความขัดแย้งทางดินแดนอยู่จริง แต่ชี้ให้เห็นว่า วาระที่แท้จริง ของสงครามนี้ถูกขับเคลื่อนด้วย ผลประโยชน์ทางการเมืองและเศรษฐกิจ ภายในของแต่ละประเทศ ซึ่งใช้ อุดมการณ์ชาตินิยม เป็นเครื่องมือในการควบคุมและหลอกล่อประชาชน

