วิทยาการสาธารณภัย By ดร.วัฒกานต์ ลาภสาร

การป้องกันน้ำท่วมจำเป็นต้องใช้แนวทางที่เหมาะสมกับปริมาณน้ำฝนและความสามารถในการระบายน้ำในพื้นที่ แนวทางด้านล่างนี้เป็นการจัดการในแต่ละระดับปริมาณฝน:

1. ปริมาณฝนตก 1–100 มิลลิเมตรต่อชั่วโมง

ระดับนี้เป็นฝนตกปานกลางถึงหนัก แต่ยังอยู่ในเกณฑ์ที่ระบบระบายน้ำในเมืองส่วนใหญ่สามารถรองรับได้

แนวทางป้องกัน

  1. เพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำในเมือง
    • ตรวจสอบและทำความสะอาดท่อระบายน้ำให้พร้อมใช้งาน
    • เพิ่มจุดระบายน้ำบริเวณพื้นที่เสี่ยง เช่น จุดต่ำในเมือง
  2. พื้นที่กักเก็บน้ำชั่วคราว
    • สร้างพื้นที่รับน้ำในเมือง เช่น อ่างเก็บน้ำใต้ดินหรือสวนสาธารณะที่สามารถกักเก็บน้ำได้
  3. ระบบเตือนภัย
    • ใช้ระบบเตือนภัยเพื่อแจ้งประชาชนในพื้นที่ลุ่มต่ำให้เตรียมตัวล่วงหน้า

2. ปริมาณฝนตก 100–200 มิลลิเมตรต่อชั่วโมง

ระดับนี้เป็นฝนตกหนักที่เริ่มก่อให้เกิดน้ำท่วมขังในบางพื้นที่

แนวทางป้องกัน

  1. โครงสร้างระบายน้ำขั้นสูง
    • ติดตั้งอุโมงค์ระบายน้ำขนาดใหญ่ เช่น “อุโมงค์ยักษ์” ในกรุงเทพฯ
    • ขยายขนาดคลองระบายน้ำและท่อระบายน้ำในพื้นที่เสี่ยง
  2. การควบคุมน้ำท่วมชั่วคราว
    • ใช้กำแพงน้ำแบบพับได้ (Portable Flood Barriers) ปิดกั้นพื้นที่สำคัญ
    • ติดตั้งปั๊มน้ำความเร็วสูงเพื่อเร่งการระบายน้ำ
  3. บริหารจัดการพื้นที่รับน้ำ
    • จัดการพื้นที่ริมคลองหรือแม่น้ำให้เป็นเขตรับน้ำเพื่อชะลอการไหลบ่าของน้ำ
    • พัฒนาพื้นที่สีเขียวที่สามารถดูดซับน้ำฝนได้

3. ปริมาณฝนตก 200–300 มิลลิเมตรต่อชั่วโมง

ระดับนี้เป็นฝนตกหนักมากและมีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดน้ำท่วมใหญ่

แนวทางป้องกัน

  1. ระบบป้องกันน้ำแบบผสมผสาน
    • ใช้เขื่อนกั้นน้ำและระบบประตูระบายน้ำควบคู่กับอุโมงค์ระบายน้ำ
    • ติดตั้งอ่างเก็บน้ำชั่วคราวใต้ดินหรือในพื้นที่นอกเมือง
  2. การจัดการน้ำในพื้นที่ต้นน้ำ
    • ปรับปรุงพื้นที่ชุ่มน้ำและระบบกักเก็บน้ำในพื้นที่ต้นน้ำเพื่อชะลอการไหลของน้ำลงสู่เมือง
  3. ระบบจัดการน้ำฝน (Stormwater Management)
    • สร้างโครงสร้างที่ช่วยดูดซับน้ำฝน เช่น ทางเดินน้ำซึมได้ (Permeable Pavements) และหลังคาเขียว (Green Roofs)
  4. การอพยพและวางแผนฉุกเฉิน
    • เตรียมพร้อมแผนการอพยพประชาชนในพื้นที่เสี่ยงสูง
    • จัดตั้งศูนย์พักพิงชั่วคราวในที่ปลอดภัย

4. ปริมาณฝนตกมากกว่า 300 มิลลิเมตรต่อชั่วโมง

ระดับนี้เป็นฝนตกหนักวิกฤตที่สามารถทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและการสูญเสียครั้งใหญ่

แนวทางป้องกัน

  1. การใช้โครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่
    • เขื่อนกั้นน้ำทะเลและคลองระบายน้ำพิเศษ เช่น โครงการแบบ Delta Works ในเนเธอร์แลนด์
    • ใช้ระบบกักเก็บน้ำขนาดใหญ่ทั้งใต้ดินและบนดิน
  2. การจัดการน้ำระดับภูมิภาค
    • ทำงานร่วมกันระหว่างพื้นที่ต่าง ๆ เพื่อควบคุมปริมาณน้ำ เช่น การปล่อยน้ำลงทะเลโดยเร่งด่วน
    • วางแผนพื้นที่ที่สามารถปล่อยน้ำไหลล้นชั่วคราว
  3. เทคโนโลยีขั้นสูง
    • ใช้ระบบควบคุมน้ำอัจฉริยะที่เชื่อมต่อกับเซ็นเซอร์ตรวจวัดน้ำฝนและระดับน้ำ
    • ใช้โดรนและดาวเทียมในการตรวจสอบสถานการณ์น้ำ
  4. การเตรียมพร้อมรับมือภัยพิบัติขนาดใหญ่
    • จัดตั้งระบบเตือนภัยล่วงหน้าระดับประเทศ
    • เตรียมการอพยพขนาดใหญ่และการกระจายทรัพยากรในกรณีฉุกเฉิน

สรุป

  • ฝนตกน้อย (1–100 มม./ชม.): เน้นการจัดการระบายน้ำในเมืองและพื้นที่กักเก็บน้ำ
  • ฝนตกปานกลาง (100–200 มม./ชม.): เสริมโครงสร้างพื้นฐานระบายน้ำและพื้นที่รับน้ำชั่วคราว
  • ฝนตกหนัก (200–300 มม./ชม.): ใช้ระบบป้องกันขั้นสูง เช่น อุโมงค์ระบายน้ำ และอ่างเก็บน้ำใต้ดิน
  • ฝนตกวิกฤต (>300 มม./ชม.): ใช้โครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่และการจัดการน้ำในระดับภูมิภาค พร้อมแผนฉุกเฉิน

ข้อสำคัญ: การป้องกันน้ำท่วมควรเน้นการผสมผสานระหว่างโครงสร้างพื้นฐาน ระบบธรรมชาติ และการบริหารจัดการเชิงรุก.

Search