การป้องกันน้ำท่วมจำเป็นต้องใช้แนวทางที่เหมาะสมกับปริมาณน้ำฝนและความสามารถในการระบายน้ำในพื้นที่ แนวทางด้านล่างนี้เป็นการจัดการในแต่ละระดับปริมาณฝน:
1. ปริมาณฝนตก 1–100 มิลลิเมตรต่อชั่วโมง
ระดับนี้เป็นฝนตกปานกลางถึงหนัก แต่ยังอยู่ในเกณฑ์ที่ระบบระบายน้ำในเมืองส่วนใหญ่สามารถรองรับได้
แนวทางป้องกัน
- เพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำในเมือง
- ตรวจสอบและทำความสะอาดท่อระบายน้ำให้พร้อมใช้งาน
- เพิ่มจุดระบายน้ำบริเวณพื้นที่เสี่ยง เช่น จุดต่ำในเมือง
- พื้นที่กักเก็บน้ำชั่วคราว
- สร้างพื้นที่รับน้ำในเมือง เช่น อ่างเก็บน้ำใต้ดินหรือสวนสาธารณะที่สามารถกักเก็บน้ำได้
- ระบบเตือนภัย
- ใช้ระบบเตือนภัยเพื่อแจ้งประชาชนในพื้นที่ลุ่มต่ำให้เตรียมตัวล่วงหน้า
2. ปริมาณฝนตก 100–200 มิลลิเมตรต่อชั่วโมง
ระดับนี้เป็นฝนตกหนักที่เริ่มก่อให้เกิดน้ำท่วมขังในบางพื้นที่
แนวทางป้องกัน
- โครงสร้างระบายน้ำขั้นสูง
- ติดตั้งอุโมงค์ระบายน้ำขนาดใหญ่ เช่น “อุโมงค์ยักษ์” ในกรุงเทพฯ
- ขยายขนาดคลองระบายน้ำและท่อระบายน้ำในพื้นที่เสี่ยง
- การควบคุมน้ำท่วมชั่วคราว
- ใช้กำแพงน้ำแบบพับได้ (Portable Flood Barriers) ปิดกั้นพื้นที่สำคัญ
- ติดตั้งปั๊มน้ำความเร็วสูงเพื่อเร่งการระบายน้ำ
- บริหารจัดการพื้นที่รับน้ำ
- จัดการพื้นที่ริมคลองหรือแม่น้ำให้เป็นเขตรับน้ำเพื่อชะลอการไหลบ่าของน้ำ
- พัฒนาพื้นที่สีเขียวที่สามารถดูดซับน้ำฝนได้
3. ปริมาณฝนตก 200–300 มิลลิเมตรต่อชั่วโมง
ระดับนี้เป็นฝนตกหนักมากและมีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดน้ำท่วมใหญ่
แนวทางป้องกัน
- ระบบป้องกันน้ำแบบผสมผสาน
- ใช้เขื่อนกั้นน้ำและระบบประตูระบายน้ำควบคู่กับอุโมงค์ระบายน้ำ
- ติดตั้งอ่างเก็บน้ำชั่วคราวใต้ดินหรือในพื้นที่นอกเมือง
- การจัดการน้ำในพื้นที่ต้นน้ำ
- ปรับปรุงพื้นที่ชุ่มน้ำและระบบกักเก็บน้ำในพื้นที่ต้นน้ำเพื่อชะลอการไหลของน้ำลงสู่เมือง
- ระบบจัดการน้ำฝน (Stormwater Management)
- สร้างโครงสร้างที่ช่วยดูดซับน้ำฝน เช่น ทางเดินน้ำซึมได้ (Permeable Pavements) และหลังคาเขียว (Green Roofs)
- การอพยพและวางแผนฉุกเฉิน
- เตรียมพร้อมแผนการอพยพประชาชนในพื้นที่เสี่ยงสูง
- จัดตั้งศูนย์พักพิงชั่วคราวในที่ปลอดภัย
4. ปริมาณฝนตกมากกว่า 300 มิลลิเมตรต่อชั่วโมง
ระดับนี้เป็นฝนตกหนักวิกฤตที่สามารถทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันและการสูญเสียครั้งใหญ่
แนวทางป้องกัน
- การใช้โครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่
- เขื่อนกั้นน้ำทะเลและคลองระบายน้ำพิเศษ เช่น โครงการแบบ Delta Works ในเนเธอร์แลนด์
- ใช้ระบบกักเก็บน้ำขนาดใหญ่ทั้งใต้ดินและบนดิน
- การจัดการน้ำระดับภูมิภาค
- ทำงานร่วมกันระหว่างพื้นที่ต่าง ๆ เพื่อควบคุมปริมาณน้ำ เช่น การปล่อยน้ำลงทะเลโดยเร่งด่วน
- วางแผนพื้นที่ที่สามารถปล่อยน้ำไหลล้นชั่วคราว
- เทคโนโลยีขั้นสูง
- ใช้ระบบควบคุมน้ำอัจฉริยะที่เชื่อมต่อกับเซ็นเซอร์ตรวจวัดน้ำฝนและระดับน้ำ
- ใช้โดรนและดาวเทียมในการตรวจสอบสถานการณ์น้ำ
- การเตรียมพร้อมรับมือภัยพิบัติขนาดใหญ่
- จัดตั้งระบบเตือนภัยล่วงหน้าระดับประเทศ
- เตรียมการอพยพขนาดใหญ่และการกระจายทรัพยากรในกรณีฉุกเฉิน
สรุป
- ฝนตกน้อย (1–100 มม./ชม.): เน้นการจัดการระบายน้ำในเมืองและพื้นที่กักเก็บน้ำ
- ฝนตกปานกลาง (100–200 มม./ชม.): เสริมโครงสร้างพื้นฐานระบายน้ำและพื้นที่รับน้ำชั่วคราว
- ฝนตกหนัก (200–300 มม./ชม.): ใช้ระบบป้องกันขั้นสูง เช่น อุโมงค์ระบายน้ำ และอ่างเก็บน้ำใต้ดิน
- ฝนตกวิกฤต (>300 มม./ชม.): ใช้โครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่และการจัดการน้ำในระดับภูมิภาค พร้อมแผนฉุกเฉิน
ข้อสำคัญ: การป้องกันน้ำท่วมควรเน้นการผสมผสานระหว่างโครงสร้างพื้นฐาน ระบบธรรมชาติ และการบริหารจัดการเชิงรุก.