น้ำท่วมไทยไม่ใช่เรื่อง “ธรรมชาติรุนแรงขึ้นอย่างเดียว” แต่คือ ระบบราชการที่อ่อนแอจากข้างใน และชั้นแรกของความอ่อนแอนี้ คือ
คนและวัฒนธรรมองค์กร ที่บิดเบี้ยวอย่างต่อเนื่องมานานหลายปี
1) แต่งตั้งผู้บริหารด้วยเส้นสาย มากกว่าความเชี่ยวชาญ หลายหน่วยงานหลักด้านน้ำ เช่น อุตุฯ ปภ. ชป. มท. สทนช. มีผู้บริหารที่มาจาก “งานจัดหา–ล๊อบบี้–สายการเมือง” มากกว่า “สายวิชาการ–งานภาคสนาม–บริหารภัยพิบัติ” ผู้บริหารจำนวนหนึ่ง ไม่เคยผ่านงานบัญชาการภัยพิบัติจริง แต่กลับขึ้นมาคุมคนที่ทำงานเรื่องนี้มาทั้งชีวิต ผลลัพธ์ คือ ไม่สามารถประเมินสถานการณ์ได้ “ไม่เข้าใจเนื้อหาทางวิชาการ” ไม่กล้าตัดสินใจ การสั่งการช้า เพราะไม่มั่นใจ ไม่เชื่อผู้เชี่ยวชาญหน้างาน
2) ผู้บริหารระดับสูงไม่ลงรอยกัน ไม่แชร์ข้อมูล หัวหน้ากรมจากต่างฝ่าย “ไม่ชอบกัน” ข้อมูลพยากรณ์ เรดาร์ ภาคสนาม ไม่ถูกแชร์แบบ real-time การแจ้งเตือนถึงผู้ว่าฯ และท้องถิ่น ล่าช้าหลายชั่วโมง–1 วัน งานน้ำคือ “งานเวลา” แต่เมื่อวัฒนธรรมองค์กรเป็นแบบ “ต่างคนต่างทำ” ประเทศเสียจังหวะแบบโครงสร้าง
3) วัฒนธรรม “เกรงใจผู้ใหญ่” มากกว่า “เกรงกลัวความผิดพลาด” นี่คือรากวัฒนธรรมที่อันตรายที่สุดในงานภัยพิบัติ ไม่กล้ารายงานว่าฝนจะหนัก เพราะกลัวผู้ใหญ่ไม่พอใจ ไม่กล้าสั่งอพยพ เพราะกลัวโดนตำหนิว่า “ทำคนตื่นตกใจ” ไม่กล้าชี้ปัญหาเชิงระบบ เพราะมองว่า “ไม่น่าพูดในที่ประชุม” งานภัยพิบัติต้องการความเร็ว แต่ระบบติดขัดเพราะความเกรงใจที่ไม่ควรมีในงานวิกฤติ
4) วัฒนธรรม “เน้นภาพลักษณ์” มากกว่างานจริง ลงพื้นที่ลุยน้ำ–แจกของ–ถ่ายรูป ถูกใช้แทนระบบบัญชาการที่ควรเกิดขึ้นใน War Room ผู้บริหารหลายคน “ไปอยู่ในที่เห็นง่าย” มากกว่า “ไปอยู่ในที่ควบคุมสถานการณ์ได้จริง” ภาพที่ดี แต่ ระบบพัง

