วิทยาการสาธารณภัย By ดร.วัฒกานต์ ลาภสาร

การพัฒนาการจัดการภัยพิบัติเชิงรุกอย่างยั่งยืน

กระบวนการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติที่ก่อให้เกิดภัยพิบัติ เป็นกระบวนการที่ดำเนินไปอย่างช้าๆจนยากที่จะสังเกตได้และที่เกิดอย่างเข้มข้นรวดเร็วในรูปแบบและอัตราของความรุนแรงที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์ของมวลมนุษยชาติเพิ่มมากขึ้น

และวิกฤตทางสังคมจากการกระทำของมนุษย์ที่สร้างความเสียหายร้ายแรงเป็นกระบวนการที่มีโครงสร้างที่สลับซับซ้อน มีความหลากหลายแตกต่างกัน มีที่มาจากมูลเหตุปัจจัยทั้งภายในและภายนอกจำนวนมากซึ่งเกี่ยวข้องกัน  ถึงแม้จะมีบริบทและมีเป้าหมายเดียวคือความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน

แต่ที่ผ่านมาวิธีการจัดการภัยพิบัติมักถูกกำหนดมาจากกระบวนทัศน์ควบคุม ซึ่งเน้นการควบคุมบทบาทหน้าที่ขององค์กร/สถาบันทางสังคม สภาพดังกล่าวทำให้การพัฒนาวิธีการจัดการและแก้ไขปัญหาแบบเดิมๆไม่สามารถใช้ได้ แต่ต้องอาศัยวิธีคิดใหม่และการบริหารจัดการแบบใหม่เพื่อที่จะไม่ต้องเผชิญกับความไม่มั่นคงและความเสี่ยง

การบริหารจัดการให้ทันกับปรากฏการณ์การเปลี่ยนแปลงและวิกฤตทางสังคมดังกล่าว   กรม ปภ.ควรมุ่งเน้นบริหารจัดการให้บรรลุผล  ๒ แนวทาง คือ

๑) รู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลง ๒ ลักษณะ คือ

– รู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง (ช่วงก่อนที่จะเกิดภัย/มีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยไปเรื่อยๆไม่รุนแรงเห็นไม่ชัดเจน ผลกระทบเล็กน้อยยากต่อการสังเกตุ)

– รู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงที่เป็นวงจร (ช่วงขณะเกิดภัย/เปลี่ยนแปลงรุนแรงเห็นได้ชัดเจนเกิดความเสียหาย)

๒) เป็นกรมที่เป็นเครื่องมือของประชาธิปไตย

การรู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง เราต้องมองให้เห็นถึงความไม่ยั่งยืนของปรากฏการณ์ต่างๆ บนพื้นฐานวิธีคิดที่เป็นกระบวนระบบที่เป็นองค์รวมในการวิเคราะห์พลวัตของปรากฏการณ์อันซับซ้อนและเชื่อมโยงกันหลายระดับที่เกิดขึ้นด้วยมโนทัศน์การพัฒนาใหม่ๆ โดย

(๑)ใช้พลังอำนาจของระบบการติดต่อสื่อสารและเทคโนโลยีสารสนเทศในการสร้างเครือข่ายความร่วมมือรวบรวมข้อมูลและแจ้งเตือนภัย

(๒)สร้างเสริมบรรยากาศและกลไกเกื้อหนุนให้ประชาชนร่วมมือทำงานเพื่อสังคมให้ทั่วถึงมากขึ้นและเห็นเป็นแบบอย่างที่ดีเพื่อให้รู้ทันการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติ

(๓) ส่งเสริมนวัตกรรม รูปแบบกิจกรรมของชุมชนผ่านเครื่องมือกลุ่มแผนที่ กลุ่มแบบบันทึก กลุ่มแผนผังเชิงระบบ และกลุ่มเครื่องมือด้านวิถีชีวิตและการเรียนรู้ให้ประชาชนในชุมชนได้คิด ได้ทดลองทำ ได้ก่อร่างโครงสร้างการพัฒนาด้วยตัวเอง พัฒนาศักยภาพในการพึ่งพาตนเองเพื่อให้รู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงทางสังคม

การผนึกกำลังดังกล่าว จะสามารถประมวลผลข้อมูล วิเคราะห์สรุปแนวทางการปรับตัวและพัฒนาศักยภาพยับยั้งหรือเปลี่ยนแปลง  การเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องไม่ให้พัฒนารูปแบบไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่เป็นวงจร ทั้งนี้ มีตัวบ่งชี้ความสำเร็จ คือ ระบบคุณค่าและระบบทุนชุมชน


การรู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงที่เป็นวงจร เมื่อไม่สามารถยับยั้งวงจรได้ต้องมีความพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงโดยพัฒนาความพร้อมรับมือ ๔ ด้าน คือ

(๑)เตรียมพร้อมสำหรับการล่มสลายของระบบรัฐหรือระบบสังคม จนเกิดความปั่นป่วนโกลาหล แม้กรมจะสามารถตั้งชุมชนที่เข้มแข็งขึ้นเป็นจำนวนมาก อย่างไรเสียก็ต้องถูกฉุดให้ล่มสลายตามสังคมใหญ่ ต้องเร่งผนึกกำลังกับกรมอื่นๆเป็นพันธมิตรในการสร้างชุมชนเปลี่ยนผ่าน ซึ่งตั้งอยู่บนฐานการพึ่งพิงตนเองอย่างสมบูรณ์แบบ

(๒)สร้างขีดความสามารถในการบริหารจัดการวิกฤตขนาดใหญ่หรือสถานการณ์ผิดปกติขนาดใหญ่ นอกเหนือจากการพัฒนาศูนย์การสั่งการแก้ไขสถานการณ์วิกฤตเฉพาะหน้าให้เข้มแข็ง

(๓)ในยามวิกฤตเป็นศูนย์ความรู้หรือคลังองค์ความรู้เพื่อนำเสนอถึงข้อพิจารณาต่างๆให้รัฐบาลตัดสินใจเลือกในการแก้ไขปัญหา

(๔)วางกรอบการจัดการหรือพิมพ์เขียวจัดการภัยพิบัติใหญ่ๆ เชิงระบบที่มีความจำเป็นเร่งด่วนจะต้องทำอะไรก่อนหลังในห้วงระยะเวลาที่ยาวพอสมควรเพื่อให้เห็นภาพรวมที่ชัดเจนร่วมกันทั้งประเทศ


การเป็นกรมที่เป็นเครื่องมือของประชาธิปไตยนั้น นโยบาย แผนปฏิบัติราชการ โครงการและกิจกรรมล้วนตอบสนองต่อฉันทามติต่อความต้องการของประชาชนและทุกกระบวนการ มีประชาชนเป็นหุ้นส่วน ร่วมคิด ร่วมทำ ร่วมวางแผนและร่วมรับประโยชน์

ฉันทามติ ที่กรม ปภ.สร้างได้ในปัจจุบัน ประมาณ ๔,๐๐๐  ฉันทามติ   แต่น่าเสียดาย ที่ฉันทามติเหล่านั้น  อยู่บนกระดาษชาร์ท   บางส่วนถูกนำไปชั่งเป็นกิโลขายแล้วหลายๆจังหวัด  มีการรายงานแต่รูปภาพการแสวงฉันทามติของพี่น้องประชาชน  ในผลการดำเนินงานของกรม

การจัดการภัยพิบัติเชิงรุกอย่างยั่งยืนต้องปรับการบริหารจัดการให้เป็นการบริหารจัดการแบบตื่นรู้ปรากฏการณ์และตระหนักต่อฉันทามติของประชาชนในการนำไปสู่การปฏิบัติตามแนวทาง ๒ ประการดังกล่าวข้างต้น ซึ่งไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของค่านิยมและทัศนคติที่มาจากบรรทัดฐานชุดเดิมหรือตรรกะแบบเดิมอีกต่อไป


ภายในระยะเวลา ๒๐ ปี กรม ปภ.จะเป็นองค์กรแห่งความร่วมมือ มีการบริหารจัดการอย่างสับสนอลหม่านภายใต้สภาวะแวดล้อมที่แปรปรวนแต่มีพันธกิจที่ชัดเจน ความรู้ของคนในองค์กรเป็นสิ่งสำคัญกว่าความพึงพอใจในการทำงานและมีรูปแบบองค์กรแบบวัฎจักร(The Cyclical Organization Model)เป็นตัวแบบที่อยู่ในวงจรของความมีระเบียบ(Order)และความไร้ระเบียบ(Chaos)

00000000000000000000000000000