ทุกอย่างในโลกนี้มีลักษณะที่เป็นความสัมพัทธ์(Relative)กันทั้งสิ้น ไม่มีลักษณะใดที่เป็นสัมบูรณ์(Absolute) ธรรมชาติได้ถูกมนุษย์กระทำย่ำยีมานับหลายศตวรรษ
จนปัจจุบันความขัดแย้งระหว่างมนุษย์กับธรรมชาติได้บานปลายเป็นความรุนแรงถึงขั้นก่อความเสียหายแก่ทรัพย์สิน แก่สภาพสังคม แก่สภาพเศรษฐกิจของมนุษย์ และจะมีความรุนแรงถึงขั้นชีวิตมนุษย์มากขึ้น ทดแทนหลากหลายชีวิตในชีวมณฑลของธรรมชาติที่มนุษย์ฆ่าฟันทำลายล้างไปนับหลายพันล้านชีวิต
ชีวิตพืชหรือสัตว์ที่มนุษย์ไม่นำมาบังคับข่มขืนให้เร่งเจริญเติบโตด้วยปุ๋ย ด้วยสารเคมี ด้วยสารอาหาร ด้วยฮอร์โมนกระตุ้นการเจริญพันธ์เจริญเติบโต ก็จะถูกทำลายล้างให้หายไป
พืชและสัตว์เหล่านั้นต้องการเพียงมีชีวิตรอด แต่มนุษย์นอกจากต้องการรอดตายแล้วยังต้องการความสะดวกสบาย เหล่าสิ่งมีชีวิตในชีวงมณฑลของธรรมชาติถูกแปรรูปให้กลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่ตอบสนองความสะดวกสบายของมนุษย์
ณ ปัจจุบันธรรมชาติไม่อาจจะคงรูปแบบความสัมพันธ์ในชีวมณฑลให้เป็นไปตามที่มนุษย์คุ้นเคยได้อีก ความปั่นป่วนวุ่นวายจากการล่มสลายของสมาชิกที่มากมาย ที่อยู่รอดก็อ่อนแอเกินที่จะคงอยู่ในลักษณะเดิมได้
แม้มนุษย์จะสร้างกฎหมาย สร้างระบบที่จะเกิดความยุติธรรมระหว่างกัน อันนำไปสู่สันติวิธี แต่ธรรมชาติก็ไม่ได้รับความยุติธรรมจากสิ่งเหล่านั้น การปรองดองไม่ใช่การทำให้ฝ่ายหนึ่งยอมจำนน ความสงบที่ดูเหมือนปรองดอง แต่เป็นการสงบก่อนพายุใหญ่ แม้จะสงบอยู่นานก็จะต้องมีพายุใหญ่
ซึ่งจะล้างผลาญรุนแรงแน่นอน ซึ่งนั่นก็หมายถึงภัยพิบัติอันร้ายแรงยิ่งที่จะต้องเผชิญ