การตรวจจับ กลุ่มเมฆฝน ที่อาจก่อให้เกิดฝนตกหนักเฉียบพลัน (Rain Bomb) ด้วยเรดาร์ตรวจจับฝน จะอาศัยการวิเคราะห์ลักษณะเฉพาะของกลุ่มเมฆฝนและสัญญาณที่บ่งบอกถึงความเข้มข้นและศักยภาพในการทำให้เกิดฝนตกหนัก ลักษณะที่สำคัญที่เรดาร์ตรวจจับฝนสามารถแสดงผลและใช้ในการคาดการณ์ฝนตกหนักเฉียบพลัน ได้แก่:
ลักษณะของเรดาร์ที่บ่งบอกว่าจะเกิดฝนตกหนักเฉียบพลัน:
- การสะท้อนกลับของสัญญาณเรดาร์ที่มีค่าสูง (High Reflectivity):
- เมื่อเรดาร์ตรวจจับปริมาณน้ำหรือเม็ดฝนขนาดใหญ่ในกลุ่มเมฆ เรดาร์จะแสดงการสะท้อนกลับของคลื่นในระดับที่สูง โดยทั่วไปจะมีค่าสะท้อนกลับ (reflectivity) สูงกว่า 40-50 dBZ (decibel Z) ซึ่งบ่งชี้ถึงความหนาแน่นของหยดน้ำหรืออนุภาคน้ำแข็งในเมฆ
- ค่า reflectivity สูงบ่งบอกว่ามีปริมาณน้ำฝนที่หนาแน่นและหยดฝนขนาดใหญ่ ซึ่งมักจะเป็นสัญญาณเตือนว่าอาจเกิดฝนตกหนักในพื้นที่นั้น ๆ
- โครงสร้างของกลุ่มเมฆ (Vertical Structure of Clouds):
- เรดาร์สามารถตรวจจับความสูงและโครงสร้างของเมฆในแนวดิ่ง (vertical cross-section) หากเรดาร์แสดงผลว่ามีเมฆที่ก่อตัวสูงและหนาแน่น เมฆชนิดนี้เรียกว่า “Cumulonimbus” หรือเมฆฝนฟ้าคะนอง ซึ่งสามารถทำให้เกิดฝนตกหนักเฉียบพลันได้
- เมฆที่มีความสูงมากกว่า 10-15 กิโลเมตร มักมีการสะสมตัวของพลังงานและความชื้นมาก ซึ่งทำให้ฝนตกลงมาอย่างรุนแรงในช่วงเวลาสั้น ๆ
- ลักษณะการเคลื่อนที่ของกลุ่มเมฆ (Storm Motion):
- การเคลื่อนที่ของกลุ่มเมฆฝนที่ช้า หรือการก่อตัวของกลุ่มเมฆในที่เดียวโดยไม่เคลื่อนที่ไปไหน เป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าฝนอาจตกหนักในบริเวณนั้นเป็นระยะเวลานาน ซึ่งสามารถทำให้เกิด น้ำท่วมฉับพลัน ได้
- หากกลุ่มเมฆฝนมีการเคลื่อนที่รวดเร็วด้วยลมกรรโชกแรง ก็อาจบ่งบอกถึงการเกิดพายุฝนฟ้าคะนองที่รุนแรง ซึ่งอาจก่อให้เกิดฝนตกหนักเฉียบพลันได้เช่นกัน
- การก่อตัวของพายุฝนฟ้าคะนองหลายจุด (Multi-Cell Thunderstorms):
- หากเรดาร์ตรวจจับการก่อตัวของกลุ่มพายุฝนฟ้าคะนองหลายจุด (multi-cell) ที่มีขนาดใหญ่และเชื่อมต่อกัน บ่งบอกว่ามีการรวมตัวของความชื้นและพลังงานจำนวนมากในพื้นที่นั้น ซึ่งเพิ่มโอกาสที่จะเกิดฝนตกหนัก
- รูปแบบนี้มักเกิดขึ้นในบริเวณที่มีการสะสมตัวของความชื้นสูงและสภาพอากาศที่ไม่เสถียร
- การเกิด “Echo Tops” สูง:
- การเกิด Echo Tops เป็นการตรวจจับระดับความสูงของยอดเมฆที่สะท้อนคลื่นเรดาร์ ซึ่งหากตรวจพบว่ามียอดเมฆที่สูงมาก (เช่น มากกว่า 12-15 กิโลเมตร) แสดงว่ามีการสะสมตัวของหยดน้ำและอนุภาคน้ำแข็งขนาดใหญ่ในเมฆ ซึ่งอาจทำให้เกิดฝนตกหนักในระยะเวลาสั้น ๆ
- การสะท้อนกลับของเรดาร์แบบมีความเข้มข้นหลายชั้น (Layered Reflectivity):
- ในบางกรณี เรดาร์อาจแสดงการสะท้อนกลับที่มีความเข้มข้นหลายชั้น ซึ่งบ่งบอกถึงการที่อากาศร้อนจากพื้นดินลอยขึ้นมาปะทะกับอากาศเย็นด้านบน ทำให้เกิดการก่อตัวของฝนฟ้าคะนองรุนแรง ฝนตกหนักและลมกรรโชกแรง
การพยากรณ์ล่วงหน้า:
- นักพยากรณ์อากาศใช้ข้อมูลจากเรดาร์ร่วมกับแบบจำลองคอมพิวเตอร์และข้อมูลจากดาวเทียมเพื่อตรวจจับการก่อตัวของฝนตกหนักเฉียบพลัน หากพบลักษณะเหล่านี้ในเรดาร์ นักพยากรณ์จะสามารถออกประกาศเตือนภัยล่วงหน้าได้ในระยะเวลาสั้น ๆ (ประมาณ 1-2 ชั่วโมง) เพื่อให้ประชาชนในพื้นที่เตรียมพร้อมรับมือกับฝนตกหนัก
สรุป:
เรดาร์ตรวจจับฝนสามารถตรวจสอบและพยากรณ์ฝนตกหนักเฉียบพลันได้โดยการตรวจจับการสะท้อนกลับที่มีค่าสูง (สูงกว่า 40 dBZ), เมฆที่มีความสูงและหนาแน่น, การก่อตัวของกลุ่มพายุฝนฟ้าคะนองหลายจุด และการเคลื่อนที่ของเมฆ การใช้ข้อมูลจากเรดาร์ร่วมกับเทคโนโลยีอื่น ๆ ทำให้นักพยากรณ์สามารถพยากรณ์ฝนตกหนักเฉียบพลันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นในปัจจุบัน