ความถี่ภัยพิบัติ มีนักวิชาการสังเกตุการณ์แล้วพบว่า “แปลกใหม่ขึ้น” เช่น ประเทศไทยไม่เคยคิดว่าจะเกิดสึนามิ แต่ก็เกิด หรือพม่าไม่เคยคิดว่าจะเกิดพายุไซโคลน แต่ก็ได้เจอ หรือขณะนี้ฤดูฝนได้เริ่มตั้งแต่ปลายฤดูร้อน และขยายเวลาเข้ามาถึงฤดูหนาว ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนเชื่อว่าวันที่ 23 ตุลาคมของทุกปี คือวันสิ้นสุดฤดูฝน แต่ปี พ.ศ.2555 เข้าเดือนธันวาคมแล้ว ฝนก็ยังตกอย่างต่อเนื่อง
“เข้มข้นขึ้น” จะเริ่มเห็นได้จากการเกิดพายุ ในอดีตศูนย์กลางของพายุที่เกิดในประเทศไทย โดยทั่วไปมีศูนย์กลางความเร็วประมาณ 50 กิโลเมตร (กม.) ต่อชั่วโมง แต่จากนี้ไปจะเพิ่มขึ้นเป็น 60-80 กม.ต่อชั่วโมง หรืออย่างพายุเฮอริเคนแคทรีน่าและแซนดี้ ที่มีศูนย์กลางความเร็ว 150-160 กม.ต่อชั่วโมง ต่อไปอาจขึ้นไปถึง 200 กม.ต่อชั่วโมง
“ถี่ขึ้น” คือ สิ่งที่เคยเกิดเป็นวัฏจักร ต่อไปนี้จะไม่สามารถคาดการณ์ได้อีก
เมื่อก่อนน้ำท่วมกรุงเทพฯ เคยถูกคาดการณ์เป็นวัฏจักรที่จะเกิดขึ้นในรอบ 12 ปี หรือ 10 ปี แต่ขณะนี้ไม่ใช่ น้ำท่วมเกิดขึ้นปีต่อปี ไม่มีวัฏจักรทิ้งช่วงอีกต่อไป แผ่นดินไหวก็เช่นกัน เมื่อปี ค.ศ.2004 เกิดสึนามิจากเหตุแผ่นดินไหวที่เกาะสุมาตรา ต่อมาในปี ค.ศ.2011 เกิดเหตุขึ้นที่เดิมอีก แต่ทิ้งระยะห่างเพียง 6-7 ปี เท่านั้น ทั้งๆ ที่ตามหลักวิชาการระบุว่า การขยับตัวของแผ่นดินจะคลายและนำเอาพลังงานใต้พื้นดินออกไป ซึ่งกว่าจะสะสมพลังงานขึ้นมาใหม่ต้องใช้เวลาหลาย 10 ปี ถึง 100 ปี
นอกจากนี้ จะเกิดดินถล่มถี่ขึ้น เป็นผลจากปริมาณน้ำฝนที่มากขึ้นและสะสมบนภูเขา ส่วนน้ำแข็งในขั้วโลกจะละลายมากขึ้นในอัตราที่เร็วและรุนแรงกว่าปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ตามไหล่ทวีปต่างๆ เกิดการเปลี่ยนแปลงตามชั้นธรณีวิทยา เพราะน้ำทะเลจะล้นฝั่งกัดเซาะชายฝั่ง ส่งผลให้ไหล่ทวีปเกิดการทรุดตัวอย่างมหาศาล โดยเฉพาะกรุงเทพมหานคร ที่มีพื้นที่ต่ำมาก อยู่เหนือระดับน้ำทะเลเพียงฟุตกว่าๆ ทั่วโลกพื้นที่ที่เคยเกิดฝนตกหนัก จะเจอฝนที่หนักขึ้น พื้นที่ใดแห้งแล้งก็จะยิ่งแล้งกว่าเดิม
ส่วนกระแสน้ำอุ่นอย่าง “เอลนีโญ” และ “ลานีญา” ที่เป็นตัวชี้วัดปริมาณน้ำฝน จะไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าปีหน้าจะน้ำมากหรือน้ำน้อย
———–8888888888————–