วิทยาการสาธารณภัย By ดร.วัฒกานต์ ลาภสาร

การประเมินแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเป็นกระบวนการสำคัญที่ต้องทำอย่างมีระบบ เพื่อให้แน่ใจว่าแผนงานมีประสิทธิภาพและสามารถลดผลกระทบจากภัยพิบัติได้ แนวคิดหรือหลักการวิเคราะห์ที่เหมาะสมในการประเมินแผนดังกล่าวอาจใช้แนวคิดต่อไปนี้:

1. หลักการ SMART Criteria

การประเมินแผนโดยใช้หลักการ SMART ซึ่งเป็นแนวคิดที่ช่วยวัดความชัดเจนและประสิทธิภาพของแผนงาน:

  • S (Specific): เป้าหมายการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยต้องชัดเจนและเฉพาะเจาะจง เช่น การลดความเสียหายจากน้ำท่วมในเขตพื้นที่เป้าหมาย
  • M (Measurable): เป้าหมายต้องสามารถวัดผลได้ เช่น การวัดการลดจำนวนผู้เสียชีวิตหรือทรัพย์สินที่เสียหาย
  • A (Achievable): เป้าหมายต้องเป็นไปได้จริงและอยู่ในขอบเขตที่สามารถดำเนินการได้
  • R (Relevant): เป้าหมายต้องสอดคล้องกับความต้องการของชุมชนหรือภูมิภาคที่มีความเสี่ยงต่อภัยพิบัติ
  • T (Time-bound): เป้าหมายต้องมีกรอบเวลาที่ชัดเจน เช่น การลดจำนวนพื้นที่เสี่ยงภัยภายใน 5 ปี

การใช้หลัก SMART ช่วยให้การประเมินสามารถตรวจสอบได้ว่าแผนมีความชัดเจนในด้านต่าง ๆ และเป็นเป้าหมายที่สามารถติดตามและประเมินผลได้อย่างมีประสิทธิภาพ

2. Risk Management Framework

การใช้ การจัดการความเสี่ยง (Risk Management) เป็นกรอบในการประเมินแผนป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เน้นการประเมินความเสี่ยงในแต่ละส่วนของแผนและความพร้อมในการตอบสนองต่อความเสี่ยง โดยแบ่งเป็น 4 ขั้นตอนหลัก:

  1. การระบุความเสี่ยง (Risk Identification): วิเคราะห์ว่าภัยพิบัติที่อาจเกิดขึ้นมีอะไรบ้าง เช่น น้ำท่วม ไฟป่า แผ่นดินไหว
  2. การประเมินความเสี่ยง (Risk Assessment): ประเมินความรุนแรงและความน่าจะเป็นของภัยพิบัติที่อาจเกิดขึ้น
  3. การจัดการความเสี่ยง (Risk Control): วางมาตรการเพื่อลดความเสี่ยง หรือเพิ่มความสามารถในการรับมือกับภัยพิบัติ เช่น การสร้างเขื่อนหรือการอบรมให้ความรู้กับชุมชน
  4. การติดตามและตรวจสอบ (Risk Monitoring and Review): ติดตามผลของแผนและปรับปรุงอย่างต่อเนื่องตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป

การใช้การจัดการความเสี่ยงช่วยให้การวิเคราะห์แผนป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยมีความรอบคอบและครอบคลุมมากขึ้นในการจัดการกับปัจจัยเสี่ยงที่เกิดจากภัยพิบัติต่าง ๆ

3. SWOT Analysis

การใช้ SWOT Analysis เป็นแนวทางในการวิเคราะห์และประเมินแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย โดยพิจารณาจาก:

  • Strengths (จุดแข็ง): วิเคราะห์ว่ามีข้อดีหรือปัจจัยที่ช่วยเสริมสร้างการป้องกันภัยอย่างไร เช่น ความพร้อมของทรัพยากรหรือเทคโนโลยี
  • Weaknesses (จุดอ่อน): วิเคราะห์จุดอ่อนหรือปัจจัยที่อาจทำให้การป้องกันภัยไม่เพียงพอ เช่น ความไม่พร้อมของบุคลากรหรือการขาดงบประมาณ
  • Opportunities (โอกาส): วิเคราะห์โอกาสที่สามารถใช้ประโยชน์ เช่น การเข้าถึงแหล่งทุนหรือความร่วมมือระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ
  • Threats (ภัยคุกคาม): วิเคราะห์ปัจจัยภายนอกที่อาจส่งผลกระทบ เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศหรือภัยพิบัติที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้

SWOT Analysis ช่วยให้องค์กรสามารถประเมินแผนป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยได้อย่างครบถ้วนทั้งจากปัจจัยภายในและภายนอก

4. PDCA Cycle (Plan-Do-Check-Act)

PDCA เป็นแนวคิดที่ใช้ในกระบวนการวางแผนและประเมินผล โดยมีขั้นตอนดังนี้:

  • Plan (วางแผน): วางแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย รวมถึงการตั้งเป้าหมายและมาตรการที่ต้องการดำเนินการ
  • Do (ลงมือทำ): นำแผนที่ได้กำหนดไว้มาดำเนินการ เช่น การฝึกซ้อม การติดตั้งระบบเตือนภัย หรือการสร้างโครงสร้างพื้นฐาน
  • Check (ตรวจสอบ): ประเมินผลการดำเนินการว่าเป็นไปตามแผนหรือไม่ มีปัญหาหรือข้อผิดพลาดใดบ้าง
  • Act (ปรับปรุง): นำข้อมูลจากการตรวจสอบมาปรับปรุงแผนหรือกระบวนการให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

PDCA Cycle เป็นวิธีการที่เน้นการพัฒนาปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง ทำให้แผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยมีความยืดหยุ่นและสามารถปรับตัวตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงได้

5. หลักการประเมินจาก Key Performance Indicators (KPIs)

การใช้ ตัวชี้วัดความสำเร็จ (KPIs) เป็นแนวทางในการประเมินแผน โดยกำหนดตัวชี้วัดที่สามารถวัดผลได้ชัดเจนในด้านต่าง ๆ เช่น:

  • จำนวนผู้เสียชีวิตจากภัยพิบัติที่ลดลง
  • ระยะเวลาในการตอบสนองต่อเหตุการณ์ฉุกเฉิน
  • จำนวนผู้ที่ได้รับการฝึกอบรมการเตรียมความพร้อมสำหรับภัยพิบัติ
  • ความสามารถในการฟื้นฟูพื้นที่หลังภัยพิบัติ

การกำหนด KPIs ช่วยให้การประเมินผลมีความชัดเจนและสามารถวัดความสำเร็จของแผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยได้อย่างเป็นรูปธรรม

6. Cost-Benefit Analysis (CBA)

การวิเคราะห์ต้นทุน-ผลประโยชน์ (CBA) เป็นการประเมินความคุ้มค่าของการดำเนินแผนป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย โดยเปรียบเทียบระหว่างต้นทุนที่ใช้ในการดำเนินการกับผลประโยชน์ที่ได้รับหลังจากการป้องกันหรือบรรเทาผลกระทบของภัยพิบัติ การใช้ CBA จะช่วยให้องค์กรสามารถตัดสินใจได้ว่าการลงทุนในมาตรการป้องกันใด ๆ นั้นคุ้มค่าหรือไม่


สรุป

แนวคิดและหลักการวิเคราะห์เหล่านี้สามารถใช้ร่วมกันหรือเลือกใช้ตามบริบทของแผนป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแต่ละองค์กร การวิเคราะห์ที่ดีควรครอบคลุมถึงการวัดผลที่ชัดเจน (SMART), การจัดการความเสี่ยง (Risk Management), การประเมินจุดแข็งและจุดอ่อน (SWOT), กระบวนการ PDCA, ตัวชี้วัดความสำเร็จ (KPIs) และการวิเคราะห์ต้นทุน-ผลประโยชน์ (CBA) เพื่อให้แผนมีประสิทธิภาพสูงสุดในสภาพแวดล้อมที่มีความเสี่ยง

Search