ประเทศไทยมีประวัติศาสตร์การฉ้อโกงประชาชนที่หลากหลาย ทั้งในรูปแบบที่เกิดขึ้นภายในประเทศและการหลอกลวงข้ามชาติ ซึ่งหลายกรณีมีลักษณะคล้ายกันคือการชักชวนประชาชนให้ลงทุนหรือร่วมธุรกิจ โดยมีการโฆษณาหรือสัญญาว่าจะให้ผลตอบแทนสูงผิดปกติ การฉ้อโกงเหล่านี้มักส่งผลกระทบรุนแรงทั้งต่อเศรษฐกิจส่วนบุคคลและภาพรวมของประเทศ ตัวอย่างที่สำคัญของกรณีฉ้อโกงประชาชนในประเทศไทยมีดังนี้:
1. แชร์ลูกโซ่
- แชร์ลูกโซ่เป็นหนึ่งในกรณีฉ้อโกงประชาชนที่พบมากที่สุดในประเทศไทย โดยมีการหลอกลวงให้ประชาชนร่วมลงทุนในธุรกิจหรือโครงการที่ให้ผลตอบแทนสูงเกินจริง โดยส่วนมากจะนำเงินของผู้ลงทุนใหม่ไปจ่ายเป็นผลตอบแทนให้ผู้ลงทุนเก่าแทนการนำไปทำธุรกิจจริง ตัวอย่างที่โด่งดัง ได้แก่ “แชร์แม่ชม้อย” ในปี 2527 ที่มีผู้เสียหายมากถึงหลักหมื่นคน มูลค่าความเสียหายหลายพันล้านบาท
- แชร์ลูกโซ่ยังคงปรากฏในรูปแบบที่ปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัย เช่น การลงทุนในเงินดิจิทัลหรือโครงการลงทุนที่อ้างว่าเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี ทำให้ประชาชนหลงเชื่อและเสียหายจำนวนมาก
2. การฉ้อโกงผ่านสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน
- หนึ่งในกรณีฉ้อโกงที่มีชื่อเสียงคือ คดีสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงปี 2556 โดยมีผู้บริหารของสหกรณ์ฯ นำเงินลงทุนของสมาชิกไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ สร้างความเสียหายมหาศาลต่อประชาชนและองค์กรในสหกรณ์ มีมูลค่าความเสียหายรวมกว่า 12,000 ล้านบาท
3. แชร์ลอตเตอรี่และแชร์ทองคำ
- การฉ้อโกงโดยการชักชวนให้ประชาชนร่วมลงทุนในแชร์ลอตเตอรี่หรือแชร์ทองคำ มีลักษณะการชักชวนในรูปแบบ “หวยทิพย์” หรือแชร์ทองคำ ซึ่งให้ประชาชนโอนเงินเพื่อลงทุนในทองคำหรือลอตเตอรี่ที่ไม่เคยมีอยู่จริง ตัวอย่างกรณีล่าสุด เช่น กรณีของแชร์หวยทิพย์ปี 2563 ที่สร้างความเสียหายหลายร้อยล้านบาท
4. คดีฉ้อโกงออนไลน์และการลงทุนฟินเทค (Fintech Fraud)
- ในช่วงปีหลัง ๆ การฉ้อโกงประชาชนได้ปรับรูปแบบไปตามเทคโนโลยีที่พัฒนา เช่น การฉ้อโกงผ่านการลงทุนในสกุลเงินดิจิทัล โครงการลงทุนในฟินเทค หรือการเทรดในตลาดหุ้น โดยผู้กระทำการจะใช้โซเชียลมีเดียในการโฆษณา ทำให้เข้าถึงประชาชนได้ง่ายขึ้น ตัวอย่างที่โด่งดังเช่น คดี Forex-3D ซึ่งอ้างว่าทำธุรกิจเทรดฟอเร็กซ์ (Forex) สร้างความเสียหายให้แก่ผู้เสียหายหลายหมื่นรายรวมมูลค่าความเสียหายหลายพันล้านบาท
5. คดีหลอกลงทุนในอสังหาริมทรัพย์
- มีกรณีที่ประชาชนถูกหลอกให้ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ เช่น คอนโดมิเนียมหรือโครงการที่อยู่อาศัยต่าง ๆ ซึ่งผู้กระทำการมักโฆษณาว่าเป็นโครงการที่มีผลตอบแทนสูง แต่แท้จริงแล้วไม่ได้มีการสร้างโครงการจริง กรณีที่โด่งดังเช่น คดีแชร์อสังหาฯ บ้านเอื้ออาทร ในช่วงปี 2550 ซึ่งสร้างความเสียหายและความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนที่จ่ายเงินไปล่วงหน้า
กฎหมายที่เกี่ยวข้องและการปราบปราม
ประเทศไทยมีการออกกฎหมายเพื่อป้องกันการฉ้อโกงประชาชน โดยเฉพาะ พระราชกำหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ. 2527 ซึ่งมีบทลงโทษสูงสำหรับผู้ที่กระทำการฉ้อโกงในลักษณะที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนจำนวนมาก นอกจากนี้ยังมี สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ที่มีบทบาทในการตรวจสอบและยึดทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับการฟอกเงินจากการฉ้อโกงอีกด้วย
สรุป
ประวัติศาสตร์การฉ้อโกงประชาชนในประเทศไทยเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมักมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการหลอกลวงตามเทคโนโลยีและความนิยมในแต่ละยุค ประชาชนจึงควรระมัดระวัง ตรวจสอบข้อมูลและแหล่งที่มาของการลงทุนให้ดีก่อนตัดสินใจ