วิเคราะห์การอพยพประชาชนในอดีต เกี่ยวกับการสู้รบระหว่างไทยกับกัมพูชา ในปี พ.ศ. 2544 เกิดข้อพิพาทที่ปราสาทตาเมือนธม ประชาชนกว่า 25,942 คน ต้องอพยพไปยัง 22 จุดพักพิงในจังหวัดสุรินทร์ และอีก 7,815 คน ในบุรีรัมย์ รวม กว่า 33,757 คน ในปี พ.ศ.2554 เกิดข้อพิพาทที่พื้นที่บริเวณปราสาทเขาพระวิหาร ฝ่ายกัมพูชาเริ่มยิงในพื้นที่ปราสาท เกิดการตอบโต้เป็นระลอก ส่งผลให้ ชาวบ้านกว่า 15,000 คน ต้องอพยพอย่างเร่งด่วน
จากการอพยพประชาชนดังกล่าว สะท้อนให้เห็นว่า ใช้การอพยพมากกว่าการรบ” สะท้อนอะไร
สะท้อนนโยบายชายแดนเป็น “นโยบายอพยพ” ไม่ใช่ “นโยบายปกป้อง”
อพยพเพื่อเอาตัวรอด หรืออพยพเพื่อเอาหน้า?”
ภาพชาวบ้านขนของหนีตายจากแนวชายแดนไทย–กัมพูชา
แต่เคยสงสัยไหมว่า ยิงกันแค่ไม่กี่นัด ทำไมถึงต้องอพยพกันระดับสงครามโลก?
ประเทศไทยมีรถถัง มีปืนใหญ่ มีเครื่องบินรบ ซื้ออาวุธจากต่างชาติมาไม่รู้กี่แสนล้าน
แต่มาถึงสถานการณ์จริง กลับทำได้แค่ ให้ประชาชน “วิ่งหนี” ออกจากบ้านเรือนของตัวเอง
กองทัพไทยอ้าง “ปกป้องอธิปไตย” แต่การกระทำกลับเป็น
การขนชาวบ้านออกจากพื้นที่ มากกว่าการใช้ยุทโธปกรณ์ทางทหารยิงปกป้อง
คำถามคือ…
ใครควรออกจากแนวหน้า?
ประชาชน หรือ ผู้ถืออาวุธ?
การอพยพกลายเป็น เครื่องมือสร้างภาพ รัฐบอกว่าทำเพื่อความปลอดภัย แต่ในความจริง…
มันคือ ภาพความล้มเหลวของระบบความมั่นคงที่ไม่กล้าเผชิญหน้าใด ๆ เลย
ต่างจากประเทศอื่น
ในโลกนี้ เวลาเกิดความตึงเครียด — ทหารคือด่านหน้า
แต่ไทยคือประเทศที่ทหาร “หลบหลัง” พลเรือน แล้วเอาความกลัวมาเป็นฉากหน้า
อพยพเพื่อเอาตัวรอด หรืออพยพเพื่อให้กองทัพยังมีหน้าอยู่?
เพราะถ้าไม่อพยพ ก็ไม่มีภาพให้รัฐขยับงบ ให้กองทัพออกแถลงการณ์
สุดท้าย… เมื่อบ้านของเรากลายเป็นสนามรบ และเราต้องหนีโดยไม่มีใครกันหน้าให้
จะมีกองทัพไว้ทำไม?
กองทัพไทยมีศักยภาพพอให้ชาวบ้านหนี แต่ไม่พอให้ข้าศึกถอย”
“การอพยพกลายเป็นพิธีกรรมแห่งความอ่อนแอ ที่รัฐจัดซ้ำแล้วซ้ำเล่า”
“เรารบกับกระสุนไม่กี่ลูก ด้วยขบวนรถอพยพระดับสงครามโลก”