ทำไมชาติอื่นๆ ไม่สนับสนุนการผลิตรถยนต์แบบจีน
ชาติอื่นๆ มีแนวทางการสนับสนุน EV ที่แตกต่างกันไป โดยทั่วไปจะมีความระมัดระวังมากกว่าจีน ด้วยเหตุผลดังนี้:
หนึ่ง ความกังวลเรื่องการบิดเบือนตลาดและการผูกขาด: รัฐบาลส่วนใหญ่ต้องการให้ตลาดมีการแข่งขันที่เป็นธรรม และไม่อยากสร้างภาวะ “ฟองสบู่” หรือ “ผู้เล่นที่พึ่งพาเงินอุดหนุน” มากเกินไป ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาในระยะยาว
สอง การรักษาความสมดุลของอุตสาหกรรม: ประเทศที่มีอุตสาหกรรมยานยนต์สันดาปที่แข็งแกร่ง (เช่น ญี่ปุ่น, เยอรมนี, สหรัฐอเมริกา) ต้องพิจารณาผลกระทบต่อซัพพลายเชนและแรงงานจำนวนมหาศาลที่จะได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนผ่านสู่ EV อย่างรวดเร็ว การเปลี่ยนผ่านที่ค่อยเป็นค่อยไปและมีแผนรองรับจึงเป็นสิ่งสำคัญ
สาม กลไกตลาดเสรี: หลายประเทศยึดมั่นในหลักการตลาดเสรีและต้องการให้การแข่งขันเป็นตัวขับเคลื่อนนวัตกรรมและราคา ไม่ใช่การอุดหนุนจากภาครัฐที่มากเกินไป
สี่ การมุ่งเน้นที่ R&D และโครงสร้างพื้นฐาน: แทนที่จะอุดหนุนการผลิตรถยนต์โดยตรง หลายประเทศเลือกที่จะสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีแบตเตอรี่, มอเตอร์, หรือระบบชาร์จ รวมถึงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานการชาร์จสาธารณะ เพื่อสร้างระบบนิเวศ EV ที่แข็งแกร่งในระยะยาว
ตัวอย่าง:
สหรัฐอเมริกา: มีกฎหมาย Inflation Reduction Act (IRA) ที่ให้เงินอุดหนุนแก่ผู้บริโภคสำหรับการซื้อ EV ที่ผลิตในสหรัฐอเมริกาและใช้วัตถุดิบแบตเตอรี่จากแหล่งที่กำหนด เพื่อส่งเสริมการผลิตภายในประเทศ
ยุโรป/เยอรมนี: เน้นการลงทุนด้าน R&D ในเทคโนโลยีแบตเตอรี่และระบบส่งกำลัง รวมถึงการสร้างโครงข่ายสถานีชาร์จ และให้สิ่งจูงใจแก่ผู้บริโภคในระดับหนึ่ง แต่ไม่ได้อุดหนุนผู้ผลิตโดยตรงอย่างมหาศาลเหมือนจีน
ญี่ปุ่น: ค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นมักจะเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีแบตเตอรี่ใหม่ๆ เช่น Solid-State Battery และค่อยๆ ปรับเปลี่ยนสายการผลิต โดยยังให้ความสำคัญกับรถ Hybrid ที่เป็นจุดแข็งของตนเอง
สรุปคือ แม้การสนับสนุนแบบจีนจะช่วยเร่งการเติบโตของอุตสาหกรรม EV ได้อย่างรวดเร็ว แต่ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงเรื่องภาวะผลิตเกิน สงครามราคา และข้อพิพาททางการค้า ทำให้ชาติอื่นๆ เลือกใช้แนวทางการสนับสนุนที่ระมัดระวังกว่า โดยเน้นการสร้างระบบนิเวศ EV ที่ยั่งยืนและเป็นธรรมมากขึ้นในระยะยาวครับ