การสื่อสารยามวิกฤตไม่ได้ถูกออกแบบเพื่อ “ปกป้องชีวิตผู้คน” แต่เพื่อ “ปกป้องความรับผิดชอบของหน่วยงาน”
หนึ่ง. ข้อความเตือนภัยถูกใช้เป็น “เครื่องมือกันผิด” มากกว่า “เครื่องมือช่วยชีวิต” ข้อความจึงมีลักษณะ: ภาษาทางการ เชิงรายงานสภาพอากาศ ไม่บอกต้องทำอะไร ไม่บอกควรทำทันที ขาดบริบทพื้นที่เสี่ยง ขาดภาษาคนธรรมดา นี่เรียกว่าวัฒนธรรมการสื่อสารแบบราชการ
ซึ่งแก่นสารคือ: ฉันได้แจ้งแล้ว ดังนั้นฉันไม่ผิด การเตือนภัยจึงกลายเป็น “พิธีกรรม” ไม่ใช่ “ระบบช่วยชีวิต”
สอง ข้อความมัก “ไร้ความเร่งด่วน” เพราะรัฐกลัวประชาชน “ตื่นตระหนก” เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของรัฐแบบรัฐที่เชื่อว่าประชาชนไม่ฉลาดพอ จึงไม่ควรพูดตรง ๆ เกินไป ผลคือข้อความเตือนภัยออกมาว่า ระดับน้ำจะสูงขึ้น ขอให้เตรียมการรับมือ ยกของขึ้นที่สูง เคลื่อนย้ายรถ และติดตามข่าวอย่างใกล้ชิด” แทนที่จะบอกว่า: “น้ำจะถึงในอีก 3 ชั่วโมง ความสูง 3 เมตร— อพยพทันที” แค่นี้ประชาชนก็เข้าใจแล้วและพร้อมจะหนีตายได้แล้ว แต่รัฐไทยกลัวเสียหน้า กลัวถูกด่า กลัวพูดแรงแล้ว “ผิดพลาด” จึงเลือกทำแบบปลอดภัยต่อราชการ แต่เป็นอันตรายต่อประชาชน
สาม การคัดลอกจาก “กรมอุตุฯ” คือผลของวัฒนธรรมราชการแบบ “ลำดับชั้นสุดโต่ง” หน่วยงานด้านภัยพิบัติไม่กล้าเขียนข้อความเอง
ไม่กล้าประเมินสถานการณ์เอง ไม่กล้าให้คำสั่งที่มีผลต่อชีวิตผู้คน เพราะกลัว: ถูกกล่าวหาว่าเกินอำนาจ ทำให้ประชาชนตื่นตระหนกจนหัวใจวาย สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจ ถูกโยนความผิดทีหลัง จึงทำสิ่งที่ปลอดภัยที่สุด: ก็อปข้อความกรมอุตุมาปรับแต่งเตือนแบบกว้างๆ แล้วส่งออกไป เป็น “การเตือนภัยแบบไม่เกิดความรับผิดชอบ”
วัฒนธรรมการปฏิบัติราชการทั้งสามข้อดังกล่าวข้างต้น ได้ถูกปลูกฝังมาตั้งแต่ตั้งกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบขับเคลื่อนระบบเตือนภัย cell broad cast จึงอย่าได้แปลกใจว่าทำไมระบบเตือนภัย Cell Broadcast ไทยถึง “ไร้วิญญาณ” และทำไมมันกลายเป็นเพียงการคัดลอกพยากรณ์อากาศของกรมอุตุนิยมวิทยา ทั้งที่ควรเป็น “ข้อความเตือนภัยเพื่อช่วยชีวิตประชาชน”

