เหตุการณ์น้ำท่วมหาดใหญ่ปลายปี 2568 ไม่ได้สะท้อนแค่ปริมาณฝน 300 มม. แต่สะท้อน “ความผิดปกติของระบบเตือนภัย” ที่ฝังอยู่ในกลไกรัฐมายาวนาน และวันนี้มันระเบิดต่อหน้าคนทั้งประเทศ สิ่งที่พบ ไม่ใช่อุบัติเหตุ แต่เป็น pattern ซ้ำซาก คือข้อมูลสำคัญขึ้นไปไม่ถึง “ผู้สั่งการ” คำสั่งสำคัญลงมาไม่ถึง “ผู้ปฏิบัติ” ประชาชนอยู่ในช่องว่างนั้นโดยสมบูรณ์
🔍 1. ศูนย์กลางมีข้อมูล แต่ไม่ยกระดับการเตือนภัย ตลอดวันที่ 19–23 พ.ย. ข้อมูลฝนสะสมและปริมาณน้ำเหนือจาก สทนช.-กรมอุตุ-ชลประทาน มีระบุชัดว่า น้ำจะไหลลงหาดใหญ่มากกว่ารอบแรกอีก 1 เมตร
คำถามคือ:
– เหตุใด กอปภ.ก. ไม่ยกระดับเตือนภัยเร็วกว่าวันที่ 21?
– เหตุใดการสื่อสารยังเป็นเพียง “เตรียมพร้อม” ทั้งที่ข้อมูลบ่งชี้ “วิกฤต”?
ระบบเตือนภัยมี แต่ไม่ถูกใช้เต็มศักยภาพ นี่คือข้อเท็จจริงเชิงระบบที่ตรวจสอบได้
🔍 2. ระดับจังหวัด–อำเภอเงียบ ทั้งที่ข้อมูลชัดว่าต้องอพยพ ตามกฎหมาย พ.ร.บ.ปภ.2550 อำนาจสั่งอพยพอยู่ที่ ผู้อำนวยการจังหวัดและอำเภอ ไม่ใช่เทศบาล แต่ในช่วง 48 ชั่วโมงก่อนน้ำหลากรอบสอง ยังไม่พบคำสั่งอพยพระดับจังหวัดหรืออำเภอที่ชัดเจน
คำถามสาธารณะคือ:
– ระหว่างวันที่ 21–23 พ.ย. จังหวัดได้รับข้อมูลอะไร?
– มีเหตุผลใดที่ไม่ออกคำสั่งอพยพล่วงหน้า?
– EOC จังหวัดถูกตั้งหรือไม่? ถ้าตั้ง ทำงานอย่างไร?
นี่คือช่องว่างที่ทำให้ชุมชนเสี่ยงถูกทิ้งให้น้ำมาถึงก่อนคำสั่งรัฐ
🔍 3. เทศบาลกลายเป็น “ผู้รับเคราะห์ทางการสื่อสาร” โดยอัตโนมัติ เทศบาลเป็น “หน่วยปฏิบัติ” ตามกฎหมาย แต่ในเหตุการณ์นี้ถูกสังคมดันให้เป็น “หน่วยสั่งการ” ทั้งที่อำนาจอพยพไม่ได้อยู่ที่เทศบาล และเทศบาลต้องอาศัยข้อมูล upstream จากจังหวัด–อำเภอ เมื่อ upstream ไม่ชัด downstream ก็ต้องสื่อสารแบบ “ประเมินเอง – รับน้ำเอง – ประคองสถานการณ์เอง”
คำถามคือ:
– ทำไมเทศบาลต้องรับหน้าที่แทนศูนย์สั่งการที่สูงกว่า?
– ทำไมสัญญาณภาพรวมไม่ถูกส่งลงมาชัดเจนกว่านี้?

