ชายแดนไทยกัมพุชา ถึงวาระเปลี่ยนผ่านจาก “สงครามพิธีกรรม” ที่มีการปลุกปั่นดราม่าในยุคก่อน เข้าสู่ “สงครามเชิงโครงสร้างและชัยภูมิ”
ด้วยยุทธศาสตร์การเปลี่ยนเลือดให้เป็นอำนาจต่อรอง
ไม่ใช่เพียงเพื่อชัยชนะในสนามรบ แต่คือการสร้าง “ความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้”
หนึ่ง ข่มด้วยภูมิศาสตร์: ใครคุมเนินสูงได้ คนนั้นคุม “สายตา” และ “วิถีกระสุน” เมื่อไทยอยู่สูงกว่า กัมพูชาจะเสียเปรียบในการวางกำลังอาวุธหนักทันที
สอง การเมืองบนโต๊ะเจรจา: การยึดพื้นที่สูงคือการสร้าง “ชิป” ในการเจรจา หากไทยไม่ขยับหมากรุกคืบในตอนนี้ เมื่อถึงเวลาเจรจาเรื่องพื้นที่ทับซ้อน หรือเขตแดน ไทยจะไม่มีแต้มต่อใดๆ เลย การใช้กำลังในวันนี้จึงเป็นการ “รบเพื่อจบที่โต๊ะ”
ซึ่งเราจะเห็นความเปลี่ยนแปลงทางยุทธศาสตร์ ดังนี้
1.การปะทะรอบแรก ยุคพลโทบุญสิน พาดกลาง
เป้าหมายหลักคือ ปลุกกระแสล้มรัฐบาล แม่ทัพภาคที่ 2 ต้องเดินสายปลุกกระแสรัฐบาลขายชาติ เห็นทหารเป็นศัตรู
เป้าหมายรอง คือ ให้ไพร่พลเข้าไปยึดปราสาทและผืนป่า หลีกเลี่ยงชัยภูมิสำคัญทางยุทธวิธีทางการรบ
2.การปะทะรอบสอง คือ เป้าหมายหลัก คือ ผู้ล้มรัฐบาลได้สั่งยึดจุดยุทธศาสตร์ที่เป็นชัยภูมิที่ดีทางทหารเพื่อผลการเจรจา ภายใต้วาทกรรมทางการเมืองว่า”ความมั่นคงที่ยั่งยืน/ปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์”
สรุป การปะทะรอบสอง ชนชั้นนำไทยต้องการใช้กำลังทหารเข้าไปจัดระเบียบใหม่ ก่อนที่การเจรจาจะเริ่มขึ้น

