ทุน(capital) คือปัจจัยการผลิตประเภทหนึ่ง ส่วนต้นทุน (cost) คือสิ่งที่ต้องยอมสูญเสียเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการ เช่น ต้นทุนค่าเช่า ค่าจ้าง ดอกเบี้ย และอื่นๆ เป็นต้น ดังนั้น เมื่อนำมาอธิบ่ายพฤติกรรมทางสังคม จึงได้ความหมาย ดังนี้
1. ทุนทางสังคม (social capital) ซึ่งหมายถึง ผลกระทบเชิงบวกหรือปัจจัยทางสังคมที่ช่วยส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาที่ดีขึ้น หรือทำให้เกิดคุณค่าและมูลค่าเพิ่มต่อการผลิตหรือการพัฒนานั้น
2. ต้นทุนทางสังคม (social cost) หมายถึง ความสูญเสียหรือผลกระทบเชิงลบที่เกิดขึ้นกับสังคม อันเนื่องมาจากการประทำใดการกระทำหนึ่ง เช่น การพัฒนาอุตสาหกรรมอย่างไม่มีแบบแผน อาจส่งผลกระทบเชิงลบต่อโครงสร้างทางสังคมและสิ่งแวดล้อม เป็นต้น
ในยามเกิดสาธารณภัย จะสามารถเผชิญหรือสามารถปรับปรุงเปลี่ยนแปลงต่อสู้ ได้ดีแค่ไหนก็ขึ้นกับทั้ง ทุนทางสังคมและต้นทุนทางสังคม โดยมีลักษณะการใช้ในยามเผชิญสาธารณภัย ดังนี้
1.ใช้จากที่สะสมจากอดีต ในยามเผชิญสาธารณภัยเราจะนำสิ่งที่เราไว้ในอดีตมาใช้ทั้งที่เป็นทุนทางสังคม (social capital) และต้นทุนทางสังคม (social cost) เราทำมาดีเราก็จะได้ผลกระทบที่ดี สามารถแก้ไขบรรเทาปัญหาได้อย่างราบรื่น เราทำมาฟอนเฟะเราก็จะยากลำบากมากยิ่งขึ้นสูญเสียมหาศาล จนอาจถึงกลับสูญเสียชีวิต เช่น เมื่อเราเผชิญสาธารณภัยโควืด 19 ในปี 2564 เรายากลำบากเพราะเราได้ยอมให้โจรมาปกครอง ทั้งๆ ที่พอจะแก้ไขบรรเทาปัญหาได้กลับถูกปล้นแล้วปล้นอีก
2.ต้องสร้างให้เกิดขึ้นในปัจจุบันขณะกำลังเผชิญสาธารณภัย คือเฉพาะทุนทางสังคม (social capital) ต้องประเมินสภาพนิเวศให้กระจ่างว่า ทำสิ่งใดแล้วเกิดผลกระทบเชิงบวก ส่งเสริมการพัฒนาให้ดีขึ้น เกิดคุณค่ามีการพัฒนาขึ้น (อย่าไปคิดเรื่องในอดีต เร่งสร้างปัจจุบัน) ตัวอย่างทุนทางสังคมในยามเผชิญสาธารณภัยที่ต้องเร่งให้เกิด มีดังนี้
2.1 ความไว้เนื้อเชื่อใจกัน จะต้องรักษาให้ทุกฝ่ายทุกปัจเจกบุคคลไม่ทำอะไรที่จะทำให้ขาดความไว้เนื้อเชื่อใจกัน เช่นตัวอย่างในปี 2564 เมื่อเราเผชิญสาธารณภัยการแพร่ระบาดโควิด ปกติเราจะสามารถไว้เนื้อเชื่อใจได้ว่ารัฐบาลจะจัดหาวัคซีนที่มีคุณภาพมาให้ประชาชนได้ฉีดเข้าร่างกายให้ร่างกายมีภูมิป้องกันเชื้อไวรัสได้ เราจะไว้เนื้อเชื่อใจได้ว่าเมื่อยามที่เราป่วยภาครัฐจะให้เราเข้าไปรักษาพยาบาลในโรงพยาบาลได้ หรือสั่งหยุดกิจกรรมทางเศรษฐกิจเราจะไว้เนื้อเชื่อใจว่าต้องมีการชดเชยเยียวยา (ยกเว้นสั่งห้ามพระหยุดรับนิมนต์ ห้ามข้าราชการหยุดวันเว้นวัน ฯลฯ เพราะเป็นเศรษฐกิจทางอ้อม)
2.2 ธรรมาภิบาล เราคงไม่รอเฉพาะความไว้เนื้อเชื่อใจขับเคลื่อนเพียงลำพัง เราจะต้องมีการรับส่งสื่อสารความเข้าใจความต้องการและปรับพฤติกรรมปรับการทำงานให้เกิดประโยชน์สูงสุดร่วมกัน จะมาสั่งแบบเผด็จการ (ถ้าฉลาดแบบจีก็ดีไป) จะมาสั่งแบบเด็กปฐมเล่นเฮือนน้อยไม่ได้นะครับ ต้องพูดจาสื่อสารกันได้ ไม่พยายามยัดกฎหมายยัดคดีให้กันและกัน
xxxxxxxxxxxxxxxxxxx