ปัญหาสิ่งแวดล้อม เริ่มจะเป็นประเด็นที่จะร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ แม้ผลกระทบจะถูกนำเสนอต่อสังคมมาอย่างเนิ่นนาน แต่เหมือนสังคมอยู่ในสภาวะที่ถูกกระทำให้ไร้เสียงสะท้อนจากความคิดเห็น จากประสบการณ์ จากความรู้สึก และความขับข้องใจของตนเองในฐานะปัจเจกหรือในความเป็นมนุษย์ จากเหตุผล 2 ประการ คือ
1.เสียงเหล่านั้นถูกกีดกันไม่ให้มีตำแหน่งที่อยู่ในประวัติศาสตร์
อันสอดคล้องกับแนวคิดระบอบอำนาจนำของกรัมซี่ที่เห็นว่า กลุ่มชนชั้นปกครองและนายทุนผูกขาดได้ใช้อำนาจแบบไร้กำลังอาวุธนานารูปแบบ ที่โน้มน้าวให้ประชาชนคิดว่าผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นจากสิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรมเสียหายคือประโยชน์ชาติบ้านเมืองหรือประโยชน์ของประชาชนทุกคน
จากผลของการใช้อำนาจดังกล่าว ได้ผลักดันให้ประชาชนกลายเป็นผู้ไร้เสียงหรือเป็นสังคมไร้เสียง เรืองที่จะมีเสียงสะท้อนให้ถูกบันทึกเป็นประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติเป็นไม่มีทางเกิดขึ้น
//
2.เสียงเหล่านั้นถูกเบียดขับให้ห่างไกลเลือนลางต่อความเข้าใจด้วยถูกครอบงำด้วยแนวคิดที่เป็นวิทยาศาสตร์ที่จะต้องประกอบด้วยหลักเหตุและผลที่เป็นรูปธรรม
โดยคุณค่าของความเป็นมนุษย์ในโลกยุคสมัยใหม่ถูกนิยามว่าเป็นผู้มีความสามารถในการใช้เหตุผล สติ ปัญญา มีอิสระและเสรีภาพ มีคุณธรรมจริยธรรม แต่ความเป็นจริง ไม่ได้เป็นไปเช่นนั้น คนส่วนใหญ่ไม่สามารถนำเสนอความเป็นมนุษย์ภายใต้กรอบวิธีคิดดังกล่าว จึงทำให้ถูกถีบขับให้เป็น “ผู้ไร้เสียง” ที่ไม่มีความสามารถออกมาเรียกร้องหรือแสดงความคิดเห็นของตนได้ ด้วย 2 สาเหตุ คือ
2.1 การศึกษาวิจัยถูกกดขี่จากผู้เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน (ชนชั้นปกครองและนายทุนผูกขาด (โง่ จน และเป็นทาสต่อไป))
2.2 ข้อจำกัดของการศึกษาที่ต้องใช้ทั้งระยะเวลายาวนาน ใช้พื้นที่กว้างใหญ่ ใช้เงินทุนมาก ต้องการความร่วมมือระดับนานาชาติ (ปัจจุบันโลกมีองค์กรระดับนานาชาติหลายองค์กรเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม แต่ก็ไม่มีอำนาจบังคับในความร่วมมือจากชาติต่างๆ )
จากเหตุ 2 ประการดังกล่าว เมื่อผนวกกับพวกซากเดนขุนน้ำขุนนางที่เกาะเป็นปรสิตในหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องทั้งต้นน้ำของปัญหาสิ่งแวดล้อม และปลายน้ำของปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เป็นหายนะเป็นสาธารณภัยแล้ว ได้สืบต่อการกระทำให้เกิดการไร้เสียงต่อไปอีกนานเท่านาน ขึ้นกับท่านแล้วละที่จะปฏิเสธปรสิต และตอบโต้ด้วยการเคาะหม้อเคาะกะละมังต่อต้านหรือเปล่า
————————