วิทยาการสาธารณภัย By ดร.วัฒกานต์ ลาภสาร

“บทเรียนการจัดการโควิดที่ล้มเหลว” ความกลวงเปล่าบนวาทกรรมคนดีย์รับใช้คนไม่มีศีลธรรม

ในช่วงที่ประเทศไทยเผชิญกับโรคระบาดครั้งใหญ่ในรอบหลายทศวรรษด้วยเชื้อไวรัสโคโรน่า รัฐบาลเผด็จการตามรัฐธรรมนูญที่ควบคุมรัฐราชการก็บริหารจัดการแบบค่ายทหารหรือการจัดการในเรือนจำ ที่มองประชาชนเป็นคนที่ไม่มีจริยธรรมเพียงพอ จึงพิพากษาให้ประชาชนต้องอยู่ในสภาวะจำลองของค่ายทหารหรืออยู่ในเรือนจำ พร้อมกับไม่แยแสต่อความก้าวหน้าของสังคม  เมื่อประชาชนต้องจำยอมอยู่ในสภาวะดังกล่าวเรือยมาจนคุ้นชินกับการแพร่ระบาดที่จะต้องอยู่ในสภาวะการแพร่ระบาดไปอีกหลายทศวรรษ  บทเรียนการเผชิญกับโรคระบาดดังกล่าวสะท้อนความกลวงเปล่าของของรัฐบาลเผด็จการตามรัฐธรรมนูญและรัฐราชการ ความมีอยู่ของพวกเขาคล้ายกับปรสิตสำหรับประชาชน

ลักษณะที่สะท้อนความกลวงเปล่า

1. ความเชี่ยวชาญทางการแพทย์ถูกนำมารับใช้ผู้ที่มีอภิสิทธิ์กอบโกยผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจอย่างน่าละอาย (แต่ก็ไม่ยอมละอาย) ทำให้พลทหารในค่ายประเทศไทยหรือนักโทษในเรือนจำสยามต้องได้รับวัคซีนผิดแปลกไปจากนานาชาติ

2. รักษาความมั่นคงของตนเอง (รัฐบาลเผด็จการตามรัฐธรรมนูญและรัฐราชการ) ด้วยการเอาความเปราะบางของประชาชนมาใช้เป็นข้ออ้าง จึงต้องให้พลทหารในค่ายประเทศไทยหรือนักโทษในเรือนจำสยามต้องเว้นระยะห่าง ห้ามออกนอกบ้านในห้วงเวลา หยุดทำมาหากิน (บางอาชีพ) ต้องทำงานที่บ้านอันมีผลทำให้คนที่พึ่งพาสนับสนุนคนที่ต้องออกมาทำงานนอกบ้านต้องหยุดทำงานหรือมีรายได้ลดน้อยลง (คนที่ทำงานนอกบ้านไม่ได้นั้นมีจำนวนมากกว่าคนที่ทำงานที่บ้านได้) ต้องเว้นระยะห่างทางสังคม  ทั้งๆ ที่ทุ่มการตรวจและนำเอาคนที่พบเชื้อไปกักกันรักษาพยาบาลจะคุ้มทุนทางเศรษฐกิจกว่ากันมาก

3.ฉวยโอกาสฉกฉวยผลประโยชน์ ในขณะที่รัฐบาลเผด็จการตามรัฐธรรมนูญและรัฐราชการนำมาตรการระยะห่างทางสังคมมาใช้ทำให้เกิดปรากฏการณ์ตามข้อ 2 นั้น  พวกเขาเองก็ได้รักษาระยะห่างจากพวกเราหรือถีบตัวเองออกจากพวกเราที่มีสถานะเป็นพลทหารในค่ายประเทศไทยหรือนักโทษในเรือนจำสยาม ด้วยการกู้เงินเพื่อมาใช้เผชิญกับการแพร่ระบาดเป็นจำนวนมหาศาล แต่กลับนำมาใช้เพื่อเผชิญกับการแพร่ระบาดจริงๆ น้อยมาก (ประมาณร้อยละ 15) พวกเขานำมาสร้างแผนงานโครงการให้พรรคพวกรับไปทำเพียงแต่ใส่วาทกรรมเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดไวรัสโคโรน่า ก็สามารถรับเม็ดเงินกู้มาสร้างความเหลื่อมล้ำให้ห่างจากพวกเรา ทำให้ต่างชาติประเมินสถานะประเทศไทยให้เป็นประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำสูงมากที่สุดในโลกหรืออยู่ในลำดับ 1-3 ต่อเนื่องติดต่อกันเกือบจะสิบปีในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า

บทส่งท้าย

ที่กล่าวมาข้างต้นก็คงเหมือนกับการเข้ารับการศึกษาของพวกเราที่ไม่สามารถจะสร้างพลังทางความคิดให้ผลักดันตัวเองไปสู่สภาวะที่ดีกว่าได้เหมือนๆ กับประเทศใกล้เคียงในภูมิภาคเดียวกัน ต้องสยบยอมต่อความกลวงเปล่าของพวกนายพล พวกคนชั้นสูงในรัฐราชการปรสิตชี้โบ้ชี้เบ้เอาเงินงบประมาณของพวกเราถลุงไปกับความกลวงเปล่า แต่ผลที่ได้กลับเป็นภาระหนี้ของพวกเรา และความเหลื่อมล้ำจากการเอาเศษเอาเปอร์เซ็นต์ของยอดเงินประมาณของพวกเราเอง

——–xxxxxxxxxxx—————-

Proudly powered by WordPress