วิทยาการสาธารณภัย By ดร.วัฒกานต์ ลาภสาร

จุดวิกฤตจุดหายนะที่พวกเราเผชิญอยู่

สังคมไทยมีจุดวิกฤตจุดหายนะที่พวกเราเผชิญอยู่ร่วมกัน จากบรรทัดฐานที่ก่อรูปมาจากการกำหนดของระบอบการปกครองที่ประทานมาให้โดยคนเพียงกลุ่มหยิบมือเดียว บรรทัดฐานนั้น ส่งผลให้เรา

1.มีความเชื่อผิดๆ เกี่ยวกับความปลอดภัย

ยกตัวอย่างเช่น ทัศนคติของนักวิชาการการแพทย์ในปี 2563-2564 ที่เห็นว่า การขอความร่วมมือให้ให้ประชาชนใช้ผ้าปิดจมูก  ล้างมือบ่อยๆ  เว้นระยะห่างทางกายภาพ  และเพิ่มระยะห่างทางสังคม (ปิดกิจกรรมทางสังคมบางช่วงเวลา)  สามารถต่อสู้กับการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่า 2019 ได้เป็นอย่างดี  จนละเลยการป้องกันอย่างเข้มแข็งยั่งยืนและมีประสิทธิภาพ เช่นการฉีดวัคซีนให้ประชาชน  ทำให้ระยะต่อมาประเทศได้ก้าวสู่หายนะ  ในปี พ.ศ.2565 รัฐบาลเผด็จการเฒ่าทหารก็ประกาศชัยชนะบนซากศพประชาชนนับหมื่นคน

2.มีปฏิกิริยาตอบโต้ที่ไร้ประสิทธิผล

ในช่วงหลายๆ ทศวรรษนับจากปี 2545 เหล่าข้าราชการได้กล่อมเกลาสังคมให้มีทิศทางในการปกป้องสังคมจากสาธารณภัยด้วยการสร้างพิพิธภัณฑ์เครื่องจักรด้านสาธารณภัย และหน่วยงานเฉพาะที่ปฏิบัติการตั้งแต่ระดับชาติไล่ลงไปถึงราชการส่วนภูมิภาค กำหนดนโยบายให้ราชการส่วนท้องถิ่น (อบจ./ทน./ทต/ทม./อบต.)ถือปฏิบัติให้เป็นไปในกรอบเดียวกัน  ในภาคประชาชนก็ใช้งบประมาณมหาศาลมาล้างสมองให้เชื่องเชื่อต่อศักยภาพของหน่วยงานสาธาณณภัย ให้ร่วมมือร่วมไส้แห้งๆ ไปกับการซ้ายหันขวาหันตามที่ภาครัฐวางกรอบไว้ให้เดิน ให้ฝันว่าไปอยู่เมืองเฮียวโกะ ประเทศญี่ปุ่น

ผลจากยุทธศาสตร์ภาครัฐดังกล่าว ได้ทำให้การตอบโต้ของสังคมเป็นไปในเชิงรับ มองไม่เห็นความสำคัญของการดำเนินการเชิงรุก

3.ไม่มีความสามารถที่จะแนะนำตนเองให้เปลี่ยนแปลงสภาพสังคมตนเองได้

ด้วยชนชั้นนำของไทยมีความชำนาญในการแทรกแซงการปะติดปะต่อเหตุการณ์ต่างๆ ของคนไทย ด้วยการประดิษฐ์ประดอยวาทกรรมออกมาให้เคลิบเคลิ้ม จนจับต้นชนปลายไม่ถูก ทำให้ทำได้เพียงยอมๆ ให้ชนชั้นนำกุมทิศทางอนาคตกุมชะตาชีวิต  จนแทบจะเรียกได้ว่าไม่มีความสามารถที่จะแนะนำตนเองได้ว่าควรจะเดินไปทางใด โดยเฉพาะในช่วงสถานการณ์ภัยพิบัติ/ สถานการณ์วิกฤต

ถ้ารวมมายาคติที่เราประกอบสร้างขึ้นเองด้วยแล้ว  นัดคิดของพม่ายังมีแนวคิดเกี่ยวกับเราจากวาทกรรม “ถ้าพวกเราไม่สู้ก็อยู่อย่างไทย”  เราก็จะสวนกลับด้วยวาทกรรม “กูเป็นสุขสนุกสะดวกสบาย พวกมึงซิโง่”

Proudly powered by WordPress