ผลจากสภาวะโลกร้อน ได้ทำให้ภัยพิบัติที่มักจะเกิดในพื้นที่ไม่กว้างใหญ่มากนัก และไม่สร้างความเสียหายให้กับชีวิตและทรัพย์สินมากนักในอดีต แต่ด้วยการเพิ่มขึ้นของอุณภูมิโลกโดยเฉลี่ย 0.85 องศาเซลเซียส ตั้งแต่ปลายทศวรรษที่ 19 (เริ่มสภาวะนี้ในปี 1960) วงจรภูมิอากาศของโลกนั้นสภาวะโลกร้อนเอาชนะปรากฎการณ์ที่โลกเย็นลงเนื่องจากเถ้าธุลีภูเขาไฟ นักวิชาการได้ตระหนักและเรียกร้องให้พวกเราจงพิจารณาวิถึการดำเนินชีวิตโดยเร่งด่วน
1. วิถึปัจเจกบุคคล
การบริโภคระดับบุคคลมีระดับการบริโภคนอกจากปัจจัย 4 เพิ่มขึ้น แต่รักษาอุณหภูมิโลกนั้นก็คงไม่ใช่แนวทางที่จะลดการบริโภค บริโภตที่มากที่มีประสิทธิภาพและยั่งยืน แนวทางสำคัญๆ ได้แก่
1.1 ที่อยู่อาศัย/อาคารใช้สอยที่ประหยัด
จำเป็นที่จะต้องลดทั้งขนาดและปริมาณ ซึ่งปัจจุบัน (ปี 2562 คนหนึ่งมีพื้นที่อาสัยเฉลี่ย 250 ตารางเมตร ซึ่งความต้องการจำเป็นในการดำรงชีวิตมาตรฐาน คนๆหนึ่งต้องใช้เพียง 90 ตารางเมตร หากช่วยกันได้จะลดการใช้พลังงานไฟฟ้า ประหยัดการใช้นำ้ การใช้วัสดุก่อสร้าง
1.2 การคมนาคมขนส่ง
ต้องหันมาเดินและใช้จักรยานให้มากขึ้น ซึ่งต้องใช้ความอดทนในการเปลี่ยนังเมืองและค่านิยมในการตั้งถิ่นฐาน การประกอบอาชีพในระยะที่ยาวนาน พร้อมทั้งเร่งหันมาใช้ยานพาหนะไฟฟ้าแทนยานพาหนะเชื้อเพลิงฟอสซิล
1.3 การท่องเที่ยว
ปริมาณการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น 3 เท่า จากปี 2554 แต่รูปแบบลักษณะการท่องเที่ยวไม่มีประสิทธิภาพในการใช้และอนุรักษ์ทรัพยากรในการท่องเที่ยว เป็นการท่องเที่ยวที่ผลาญทรัพยากรเพิ่มขึ้น 1.8 เท่าจากปี 2554 ดังนั้น ระดับปัจจเจกต้องหันมามีทัศนคติในการท่องเที่ยวในแหล่งท่องเที่ยวที่มีการคงสภาพหรืออนุรักษ์ธรรมชาติมากขึ้น
2. วิถึธุรกิจ
ความมุ่งมั่นต่อความยั่งยืนเป็นสิ่งที่ภาคประชาสังคมจำเป็นต้องเรียกร้องต่อองค์กรธุรกิจ ส่วนใหญ่ภาคธุรกิจจะทำเท่าที่จำเป็นและไม่ให้ผิดกฎหมายเท่านั้น ซึ่งปัญหาคือกฎหมายมีช่องว่าง 2 ประการ คือ การบังคับใช้กับปฏิบัติตามกฎหมาย ความล้าสมัยกับจิตสำนึกสาธารณะ ประเด็นที่สำคัญที่ก่อให้เกิดภัยพิบัติ หากยังดำเนินการดังที่กล่าวมาข้างต้น ได้แก่
2.1 การปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต
ในประเทศไทยที่เป็นตัวก่อปัจจัยภัยพิบัติ สำคัญ ได้แก่ รถบรรทุก อาคารสิ่งก่อสร้างที่ไม่ประหยัดพลัง และฟุ่มเฟือยใช้ประโยชน์ไม่คุ้มค่า และการใช้ที่ดินที่ไม่คุ้มค่าและไม่เป็นไปตามหลักการผังเมืองรวม การเพาะปลูกไม่เหมาะสมกับพื้นที่ กฎหมาเน้นควบคุมประเด็นหลักๆ เพื่อป้องกันอันตรายต่อสารพิษ และความปลอดภัยในการทำงาน ส่วนประสิทธิภาพยังต้องขึ้นจิตสาธารณะ
2.2 นโยบายพันธบัตรเขียว
พันธบัตรเขียวภาครัฐยังติดกับดักหลายประการทั้งแรงกดดันแทรกแซงจากภาคธุรกิจ การขาดความรู้ความเข้าใจ ขาดผู้บริหารนโยบายที่มีวิสัยทัศน์ ไม่กล้าสร้างอุปสงค์และอุปทานเทียมขึ้น ทำให้โครงการลงทุนด้านสิ่งแวดล้อมในไทยล้มพับไปหลายโครงการ สถาบันการเงินยังมีข้อกีดกั้นการลงทุน นโยบายพันธบัตรเขียวเมื่อบูรณาการกับกลไกระบบทุนนิยมจะสามารถกำจัดคาร์บอนมอนอกไซต์จำนวนมหาศาล พื้นที่กายภาพที่มีศักยภาพในการป้องกันและบรรเทาภัยพิบัติ
2.3 การใช้และพัฒนาประสิทธิภาพแบตเตอรี่
แบตเตอรี่สามารถผลิตจากต้นกำเหนิดที่หลากหลาย และแทบทุกครัวเรือนสามารถผลิดได้ ทุกองค์กรสามารถผลิตได้ คิดว่าภาครัฐยังไม่ให้การสนับสนุนอย่างจริงจัง ด้วยกับดักหลายประการที่ภาคประชาชนจะต้องใส่ใจ อย่าปล่อยปละละเลยไปตามยถากรรม
3. วิถีเมือง
ด้วยประชากรโลก ประมาณ 4 พันล้านคนอาศัยอยู่ในเขตพื้นที่เมือง
3.1 ถนนอัจฉริยะ
3.2 อาคารเขียว
3.3 การบริหารจัดการน้ำอย่างยั่งยืน
4. วิถีประเทศ (อยู่ระหว่างการปรับปรุงข้อมูล)
แนวทางที่ต้องกลายเป็นนโยบายที่เชื่อถือร่วมกัน ได้แก่
4.1 การจำกัดและกักเก็บคาร์บอน
4.2 เพิ่มการใช้พลังงานนอกชายฝั่ง
4.3 การตั้งราคาคาร์บอน
4.4 การฟื้นฟูสภาพป่า
5. วิถีโลก
ความรู้ด้านวิศวกรรมดาวเคราะห์ จำเป็นที่ต้องกำหนดเป็นนโยบายที่ประเทศต่างๆ ทั่วโลกจะต้องมีความเชื่่อร่วมกัน ในด้านต่างๆ ต่อไปนี้
5.1 การกำจัดคาร์บอนไดออกไซต์ การกำจัดตามปกติที่หลุดลอยออกสู่อวกาศมีปริมาณไม่มากที่จะไม่ส่งผลกระทบต่อโลก การกำจัดในพื้นโลกจะมีต้นทุนตำ่กว่าและมีประสิทธิภาพกว่าเพิ่มการหลุดออกไปในอวกาศ เช่นการเพิ่มป่าไม้ การเพิ่มปริมาณแพลงก์ตอนโดยการโปรยฝุ่นผลเหล็กในทะเล
5.2 ละอองลอยในบรรยากาศชั้นสแตรโทสเฟียร์ หากมีปริมาณณมากจะช่วยสะท้อนแสงอาทิตย์ได้มาก แนวทางที่เป็นไปได้คือการฉีดอนุภาคซัลเฟตในชั้นบรรยากาศดังกล่าว
5.3 ม่านบังแดดอวกาศ สร้างแผ่นจานสะท้องแสงอาทิตย์ในอวกาศ
5.4 การปลูกเมฆเหนือทะเล โดยการพ่นไอน้ำในกลุ่มเมฆให้มีเมฆ จำนวนมากหรือขนาดใหญ่ขึ้จนสามารถสะท้อนแสงอาทิตย์กลับไปยังอวกาศ มากกว่าที่จะให้ตกกระทบผิวพื้นโลก โดยเฉพาะผิวน้ำทะเล
เครดิตภาพ : งาน Motor sale 2019 ไบเทค บางนา
—————555———–