วิทยาการสาธารณภัย By ดร.วัฒกานต์ ลาภสาร

 

 

 

 

การต่อสู้กับการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่า 2019 ของประเทศไทย จะเห็นความล้มเหลวของการต่อสู้ของมนุษย์คือ ภาวะผู้ป่วยล้นเกินระบบบริการสาธารณสุข ดังนั้น มาตรการต่อสู้กับโรคระบาดที่สำคัญที่สุด คือ จำกัดจำนวนผู้ติดเชื้อไม่ให้เพิ่มขึ้น หรือสกัดการลุกลามของโรคระบาด จากการศึกษาตามความคิดเห็นของประชาชน จำนวน 450 คน ในพื้นที่อำเภอพล และอำเภอหนองสองห้อง จังหวัดขอนแก่น

กลับพบว่า ภาคประชาสังคมดูจะมีความเข้มแข็งในการสกัดการลุกลามของไวรัสโคโรน่ามากกว่าภาครัฐ   มีการปิดการให้บริการทันที เพื่อทำความสะอาดพื้นที่อย่างเร่งด่วนทั้งธนาคาร ห้าง ตลาดสด กิจกรรมทางบุญประเพณีหรือกิจกรรมอื่นๆ เมื่อรู้ว่ามีความเสี่ยงไม่รอให้มีมาตรการจากภาครัฐ ในขณะที่ภาครัฐเอง นอกจากจะอ่อนปวกเปียกแล้ว ยังมีการไม่โปร่งใส

ในการดำเนินการป้องกันการลุกลาม หน้ากากอนามัยปล่อยให้ขาดแคลน ในขณะที่มีการเร่งผลิตเพื่อส่งออกไปต่างประเทศ ภายใต้วาทกรรมมากมาย เช่น หน้ากากที่ผลิตคนไทยใช้ไม่ได้ (ไม่ทราบว่ามันดีเกินไปหรือมันด้อยคุณภาพสำรับคนไทย  แต่ที่เป็นรูปธรรมคือต้องเร่งส่งออก และต้องเร่งออกระเบียบข้อบังคับให้การส่งออกเป็นไปตามกฏหมาซะด้วย)

ตารางผลการศึกษาความเข้มแข็งของภาคประชาสังคมกับภาครัฐในการต่อสู้ไวรัสโคโรน่า

 

ค่าเฉลี่ยความเข้มแข็งของภาคประชาสังคม

ค่าเฉลี่ยความเข้มแข็งของภาครัฐ

ความแตกต่าง

ค่าเฉลี่ยของการสื่อสาร

8.5

6.5

2.0

ค่าเฉลี่ยของการดำเนินมาตรการป้องกัน

9.3

5.9

3.4

ค่าเฉลี่ยของความยืดหยุ่น/มีพลวัตที่รวดเร็ว

6.8

5.6

1.2

ค่าสัมประสิทธิ์ความเชื่อถือได้ของมาตรวัด = .51

จากผลการศึกษา ประชาชนเห็นว่าสื่อสารของภาครัฐไม่ชัดเจน แถมคนใหญ่คนโตก็สื่อสารแบบไม่ผ่านสมองหรือดราม่า  มาตรการป้องกันภาคประชาสังคมพร้อมที่จะเข้าสู่มาตรการป้องกันในหลายๆ มาตการอย่างเต็มความสามารถ อย่างเต็มศักยภาพของตนเอง  ในขณะที่เห็นว่าภาครัฐเต็มไปด้วยความล่าช้า ความไม่โปร่งใสทุจริตคอรัปชั่น ภาระหนักตกที่เจ้าที่ในระบบบริการสาธารณสุขในขณะที่ส่วนราชการอื่นๆ ก็เป็นไปตามฉายากองพันสามหน้า (ผลสัมฤทธิอยู่แค่บนกระดาษไม่เกินสามหน้า ส่งกันไปมา แค่รอให้สถานการณ์จบไปเอง)

อีกทั้ง การปรับตัว/ความยืดหยุ่นภาครัฐก็ตามก้นประชาชนในแทบทุกด้าน ไม่มีความยืดหยุ่นจนกระทั่งเกิดความขัดแย้งกันเองระหว่างหน่วยงาน  (ขัดแข้งขัดขาฟ้องร้องกัน เห็นได้จากผู้นำหน่วยหลายๆหน่วยถอดใจลาออก ด้วยเหตุผลไม่ได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานอื่นบ้าง อนุญาตให้ส่งออกได้ตามระเบียบกฎหมายก็ถูกแขวนถูกย้ายเป็นผู้ผิดแต่เพียงผู้เดียว)

ทั้งนี้ ก็เพราะแต่ละหน่วยก็มีความแข็งกระด้างต่อผลสัมฤทธิที่มีผลต่อประชาชนต่ออ่อนน้อมยืดหยุ่นต่อระบบอุปถัมภ์ระบบการทุจริตคอรัปชั่นในโครงสร้างระบบราชการ (ข้าราชการกรมหนึ่งยังมีหน้าหลั่งน้ำตามอบดอกกุหลาบกันสลอน  เงินเลี้ยงดูปากท้องเอามาซื้อดอกกุหลาบมอบให้คนที่ดูการขาดแคลนหน้ากากอนามัยทั้งเจ้าหน้าที่ในระบบบริการสาธารณสุขและพี่น้องประชาชนทั้งประเทศ)