การแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุทางถนนของประเทศไทย ยังตั้งอยู่บนฐานแนวคิดของระบาดวิทยาแบบเก่าที่ปัจจุบันล้าสมัยไปแล้ว
ระบาดวิทยาแบบเก่า ให้ความสำคัญกับการวิเคราะห์ข้อมูล โดยคำนวณทางสถิติเพื่อแสดงภาพของตัวแทน (Representation) ที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยเหตุและผล ตลอดจนระดับความรุนแรงของปัญหา อันเป็นผลผลิตขององค์ความรู้ที่ตกค้างมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 18-19
ผลการวิเคราะห์ที่นำเสนอต่อสังคม มากมาย เช่น
1.อัตราการเสียชีวิตต่อแสนประชากร
2.ดัชนีความรุนแรงอุบัติเหตุทางถนน
3.ดัชนีการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนน
4.ประเภทถนนที่เกิดอุบัติเหตุมากที่สุด
5.จุดที่เกิดเหตุ ทางตรงทางโค้งที่เกิดอุบัติเหตุทางถนนมากที่สุด
6.อื่น ๆ
แนวคิดระบาดวิทยาทางวัฒนธรรม เป็นแนวคิดระบาดวิทยาแนวทางใหม่ ที่ให้ความสำคัญกับวัฒนธรรมในฐานะที่เป็นความเสี่ยงสุขภาพที่สำคัญ มิติทางวัฒนธรรมจะทำให้เข้าใจพฤติกรรมการใช้รถใช้ถนนที่ไม่พึงประสงค์ ทำให้สามารถลด ควบคุม หรือป้องกันปัจจัยเสี่ยงทางวัฒนธรรมที่จะนำมาสู่ความเสี่ยงด้านการเกิดอุบัติเหตุทางถนน โดยระบาดวิทยาวัฒนธรรมให้ความสำคัญกับองค์ประกอบ 2 ประการ คือ
1.บุคคล จะวิเคราะห์ปัจจัยด้านลักษณะทางสังคมประชากรที่เป็นปัจจัยกำหนดพฤติกรรมการใช้รถใช้ถนน เช่น ค่านิยม ความเชื่อ ชาติพันธ์ และการให้คุณค่ากับสิ่งหนึ่งๆ
2.สถานที่หรือพื้นที่ โดยแบ่งเป็น 3 ระดับ คือ
2.1 พื้นที่ทางกายภาพ ซึ่งการแก้ไขปัญหาดำเนินการผ่านนโยบายและระบบบริการเชิงพื้นที่ เช่น ภาค จังหวัด อำเภอ ตำบล การดำเนินการแก้ไขลักษณะนี้ทำให้มองเห็นช่องว่างของการดำเนินการว่าแต่ละพื้นที่มีภูมิปัญญาท้องถิ่น การคัดสรรและถ่ายทอดจากคนรุ่นหนึ่งสู่อีกรุ่นหนึ่ง
2.2 พื้นที่ทางวัฒนธรรมที่เปิดเผย ประกอบด้วยอาณาจักรที่มีโครงสร้างและหน้าที่ ซึ่งถูกกำหนดขึ้นตามความเชื่อ วิถีชีวิต กฎหมาย บรรทัดฐานทางสังคมและค่านิยมในสังคม
2.3 พื้นที่ทางวัฒนธรรมที่ไม่เปิดเผย เช่น การจ่ายใต้โต๊ะ การขูดรีด กิจกรรมเสี่ยงเฉพาะกลุ่ม(การจับกลุ่มแข่งรถซิ่ง การขว้างหินใส่่ยานพาหนะ การขึงลวดทำอันตรายคนขับขี่)
การขับเคลื่อนแนวคิดระบาดวิทยาทางวัฒนธรรม ที่กำลังดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน เช่น
1.วัฒนธรรมองค์กรด้านความปลอดภัยทางถนน แต่ก็ยังเป็นเพียงการกำหนดกรอบพฤติกรรมเท่านั้น ยังไม่ได้มีการลงโทษทางสังคมหรือองค์กร
2.มาตรการด่านชุมชน / มาตรการด่านครอบครัว แต่ก็ยังขาดเทคนิควิธีการ/แนวปฏิบัติในการสนับสนุนมาตรการให้สัมฤทธิผล