วิทยาการสาธารณภัย By ดร.วัฒกานต์ ลาภสาร

แม้จะปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิสต์ ระบอบประชาธิปไตย หรือระบอบสังคมนิยม  ทุกระบอบหากมีความไม่มั่นคงทางการเมืองเกิดขึ้น เมื่อประสบกับสาธารณภัย กระบวนการต่างๆ ในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย มักจะมีการถ่ายโอนทรัพย์สินหรือสิ่งของ อันควรจะช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย กลับถูกถ่ายโอนไปให้กับกลุ่มสามประสาน (นักการเมือง ข้าราชการและพ่อค้านายทุน) ที่หาช่องทางเสวยประโยชน์ในบริบทของการดำเนินการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย บนซากปรักหักพัง บนความระทมทุกข์ ความสิ้นหวัง ความอ้างอ้างไร้สิ้นหนทางของพี่น้องประชาชนร่วมแผ่นดิน

อย่างเช่น ในประเทศไทยช่วงต้นปี 2563 เกิดเกิดระบาดของไวรัสโคโรน่า กลุ่มผลประโยชน์ได้จงใจนำหน้ากากอนามัยที่เป็นสิ่งของที่ประชาชนที่ตระหนักถึงการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสต้องการจะใช้  นำไปส่งขายต่างประเทศที่ได้ราคาสูง  และเมื่อสินค้าขาดแคลน ราคาในประเทศก็ถึบตัวสูงขึ้นเป็น 20-30 เท่าตัว

สิทธิในการที่จะปกป้องตัวเอง ซึ่งลำพังแต่ละคนก็แตกต่างกันอยู่แล้ว และส่วนใหญ่จะถูกกำหนดโดยอำนาจการซื้อที่มีไม่เท่าเทียมกัน  หากรัฐมีความมั่นคงทางการเมือง แม้รัฐจะไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของประชาชนก็จะมีการให้ความคุ้มครองให้เกิดการเท่าเทียมตามศักยภาพ ไม่เกิดการเหลื่อมล้ำไม่เท่าเทียมกันมากเท่าใดนัก อย่างน้อยประชาชนก็จะได้รับสิทธิในการที่จะปกป้องตนเองตามมาตรฐานขั้นต่ำที่จะสามารถป้องกันสาธารณภัยได้

ในทางตรงกันข้าม หากรัฐไม่มีความมั่นคงทางการเมือง กลุ่มสามประสาน ก็จะมีอิทธิฤทธิ์ มีกลวิธีที่จะสบช่องเสวยผลประโยชน์  หรือแย่งชิงสิทธิในการที่จะป้องกันตนเองของประชาชนอย่างซับซ้อน อย่างปากปราศรัยน้ำใจเชือดคอ ยิ่งรัฐเป็นรัฐราชการ ที่มีท่านขุนน้ำขุนนางขุนทัพ (พวกหลงยุคหลงสมัย/ต้องประหารเจ็ดชั่วโคตร) มาบริหารกำหนดแนวนโยบายและนำนโยบายไปปฏิบัติ รัฐก็ยิ่งอ่อนแอเมื่อเกิดสาธารณภัย ทั้งนี้เพราะจากประวัติศาสตร์ก็ชีชัดว่าพวกนี้ส่วนใหญ่ หรือมีช่วงระยะเวลาที่ยาวนาน ที่พวกเขามีแต่มองเห็นแต่พวกเดียวกัน มองเห็นแต่อำนาจ แต่มองไม่เห็นหัวประชาชน มองไม่เห็นความสำคัญของพลเมือง

ที่กล่าวมายังไม่รวม ผนงรจตกม เข้าไปด้วย  หากรวมเข้าไปด้วย ก็สรุปได้อย่างเดียวว่า ประชาชนจะต้องดิ้นรนกัยต่อไป ภาวนาอย่าให้เสื่อมทรุด จนประชาชนจะต้องเดินเข้าแถวเข้าไปรับความช่วยเหลือจากองค์กรนานาชาติดังที่ปรากฏในหลายๆ ประเทศ

—————-////////////——————-