การจัดการภัยพิบัติในปัจจุบัน ยืนอยู่บนมโนทัศน์ควบคุม กระบวนการปฏิบัติที่ถูกครอบงำ สร้างความดีความชอบให้แก่การกระทำของชนชั้นปกครอง
อีกทั้ง ผู้ที่ได้รับผลกระทบหรือประชาชนก็ละเลยความเป็นไปภายในชีวิต มีความรัทธาต่อกระบวนทัศน์ของยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม ความพอเพียงที่เป็นวิถีชีวิตเดิมของชาติได้ถูกทำลายลง ความพยายามในการฟื้นคืนความพอเพียงต้องใช้ความพยายามอย่างสูงในปัจจุบัน เท่าที่ผู้เขียนตรวจสอบแม้แผนพัฒนาฯฉบับบที่ ๑๑ ก็ยังแสดงให้เห็นความพยายามฟื้นความพอเพียง
การจัดการภัยพิบัติ จะประสบผลสำเร็จขึ้นกับคุณภาพของประชาชน ซึ่งจะต้องมีลักษณะของคุณภาพประชาชนในการจัดการภัยพิบัติ ดังนี้
๑. ไม่ดำเนินชีวิตภายใต้ “ความเชื่อ” เป็นพื้นฐาน จะต้องมี “การรู้” เป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต
การรู้เริ่มจากสงสัยใคร่รู้ ไม่ใช่การเชื่อ เมื่อใดเมื่อเราเชื่อ เมื่อนั้นการสืบหาความจริงก็สิ้นสุดลง แม้แต่ด้านศาสนาก็มักจะเข้าใจผิดว่าศาสนาอิงอยู่กับความเชื่อ แต่แท้จริงแล้วทุกศาสนามุ่งเน้นให้มีการปฏิบัติเพื่อค้นหาความจริง และตั้งอยู่บนพื้นฐานความสงสัยใคร่รู้ เราจะได้ไม่ต้องเชื่อ แต่จะได้รู้ถึงสัจจะความจริงของตัวเราและจักรวาลทั้งมวล ไม่วันใดก็วันหนึ่ง
การจัดการภัยพิบัติก็เช่นกัน ต้องมีการปฏิบัติให้เกิดการรู้เพื่อจะอยู่รอดอย่างยั่งยืน และไม่ใช่การปฏิบัติเฉพาะเมื่ออยู่ในภาพของสังคมอย่างเดียว แต่เป็นการก่อขบถในระดับปัจเจกบุคคล
๒. มีวิถีชีวิตที่เป็นนักขบถไม่ใช่นักปฏิวัติ
ส่วนใหญ่นักปฏิวัติ มักไม่นิยมทำอะไรให้ตัวเองรู้สึกตัวมากขึ้น รักได้มากขึ้น มีความปิติสุขเปี่ยมล้นมากขึ้น มีความสร้างสรรค์มากขึ้น มีความสงบมากขึ้น แต่นักขบถนิยมเปลี่ยนแปลงจิตสำนึกของตนให้เติบโตขึ้น สร้างสรรค์ความรู้สึกจากการได้รักให้มากขึ้น ทั้งนี้ ไม่เพียงมนุษย์ด้วยกัน ยังรวมถึงสรรพสัตว์และเหล่าพืชนานาพันธ์ที่จะต้องอยู่ร่วมกันด้วยมุมมองดังกล่าวข้างต้น
หลายๆคนอาจจะคัดค้านว่า การปฏิวัติก็เป็นการเปลี่ยนแปลงจากของเดิมนั่นแหละ ซึ่งนั่นอาจจะเป็นจริงได้สำหรับการจัดการจัดการภัยพิบัติในช่วงที่ผ่านมา
แต่ในปัจจุบันสถานการณ์ได้เลวร้ายจนการปฏิวัติไม่สามารถเอาอยู่แล้ว ต้อง”ขบถ”ถึงจะแก้ไขปัญหาในสถานการณ์ปัจจุบันได้
การขบถ เป็นการยุติสิ่งเก่าๆ ก้าวออกมาจากสิ่งเก่าๆ อันจะทำให้เราสามารถปกป้องตัวเอง และรวมถึงชีวิตที่งดงามบนโลกบี้ไว้ได้