การพัฒนาไม่สอดคล้องกับความต้องการพื้นฐานของประชาชน เรื่องภัยพิบัติยังเป็นความต้องการที่ไกลตัวสำหรับชุมชนที่ยังไม่รับความเดือดร้อนจากภัยพิบัติ
ส่วนใหญ่ชุมชนถูกยัดเยียดการให้การสนับสนุนจากหน่วยงานภาครัฐ เรียกได้ว่าหน่วยงานภาครัฐเดือดร้อนมากกว่าประชาชนเดือดร้อนเมื่อมีความเปลี่ยนแปลงจากสภาพปกติเนื่องจากภัยพิบัติ
ภาครัฐต้องเปลี่ยนกระบวนการ โดยต้องแสวงหาความต้องการจำเป็นสำหรับชุมชน และแสวงหาความร่วมแรงร่วมใจ
รูปแบบวิธีการที่เป็นของส่วนกลางจะต้องเป็นรูปแบบที่กว้างๆ เทคนิค กระบวนการย่อยต้องเป็นไปตามบริบทของพื้นที่
ซึ่งการดำเนินการ ดังกล่าวข้างต้นก็ต้องอาศัยคุณภาพของเจ้าหน้าที่รัฐ
ต้องคำนึงว่าความรู้ เป็นพฤติกรรมขั้นต้นที่เพียงแต่เกิดความจำได้ โดยอาจจะเป็นการนึกได้หรือโดยการมองเห็น ได้ยิน จำได้ ความรู้ในชั้นนี้ได้แก่ ความรู้เกี่ยวกับคำจำกัดความ ความหมาย ข้อเท็จจริง กฎเกณฑ์ โครงสร้างและวิธีแก้ไขปัญหา
ส่วนความเข้าใจอาจแสดงออกมาในรูปของทักษะด้าน “การแปล” ซึ่งหมายถึง ความสามารถในการเขียนบรรยายเกี่ยวกับข่าวสารนั้น ๆ โดยใช้คำพูดของตนเอง และ “การให้ความหมาย” ที่แสดงออกมาในรูปของความคิดเห็นและข้อสรุป รวมถึงความสามารถในการ “คาดคะเน”หรือการคาดหมายว่าจะเกิดอะไรขึ้น
ดังนั้น เมื่อมีความรู้ ความเข้าใจหรือความคิดรวบยอด จะนำไปสู่การนำไปปรับใช้ ในเรื่องใด ๆ ที่มีอยู่เดิม หรือไปแก้ไขปัญหาที่แปลกใหม่ของเรื่องนั้น โดยการใช้ความรู้ต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิธีการกับความคิดรวบยอดมาผสมผสานกับความสามารถในการแปลความหมาย การสรุปหรือการขยายความสิ่งนั้น อันจะทำให้มีสมรรถนะด้านการเตรียมความพร้อมรับภัยพิบัติ